สรท. ร้อง ธปท. แก้ไขวิกฤติค่าเงินบาท ย้ำต้องดำเนินการอย่างเข้มข้นกันเงินทุนไหลเข้า

นางสาวกัณญภัค ตันติพิพัฒน์พงศ์ ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) นำทีมคณะผู้บริหาร สรท. เข้าพบหารือกับ ดร.วีรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย และคณะผู้บริหาร ธปท. เพื่อหารือแนวทางการแก้ไขปัญหาวิกฤตค่าเงินบาทต่อภาคการส่งออก
คณะกรรมการ สรท. ร้องขอ ธปท. แก้ไขปัญหา 1. ด้านอัตราแลกเปลี่ยน ประกอบไปด้วย 1.1 ขอให้ดำเนินนโยบายอย่างเข้มข้นมากขึ้นในการป้องกันการไหลเข้า

ของเงินทุนที่เข้ามาเก็งกำไรระยะสั้น 1.2) ขอให้รักษาทิศทางอัตราแลกเปลี่ยนให้สอดคล้องกับประเทศคู่ค้าและคู่แข่งในภูมิภาค 1.3) ขอให้ ธปท. จัดให้มีโฆษก และ/หรือข้อมูลผ่านช่องทางออนไลน์เพื่อให้ข้อมูลทิศทางอัตราแลกเปลี่ยนที่แท้จริงและเป็นปัจจุบัน เพื่อให้ผู้ส่งออกสามารถตัดสินใจป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนได้อย่างถูกต้องและทันท่วงที เนื่องจาก ข้อมูลคาดการณ์จากสถาบันการเงินและธนาคารพาณิชย์อาจทำให้สับสน และการซื้อขายสินค้าด้วยเงินสกุลท้องถิ่นเพื่อกระจายความเสี่ยง ต้องพิจารณาสกุลเงินที่เหมาะสม อาทิ เงินยูโร หรือเงินปอนด์สเตอริง อ่อนค่ากว่าเงินไทย จึงควรให้ข้อมูลที่เป็นปัจจุบันและสอดคล้องกับสถานการณ์จริงให้มากที่สุด

2.ด้านต้นทุนการเงิน ประกอบไปด้วย 2.1 ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายและควบคุมส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์ จึงควรช่วยกำกับดูแลเพื่อให้ผู้ประกอบการมีต้นทุนดอกเบี้ยที่ต่ำลง 2.2) สนับสนุน SMEs ในการทำประกันค่าเงินในสถานการณ์ที่ผันผวนอย่างรวดเร็วอย่างต่อเนื่องและได้มากขึ้น และ 2.3 ขอให้เปิดเผยข้อมูลอัตราค่าธรรมเนียมการซื้อขายเงินตราล่วงหน้า (Foreign Exchange Forward Contract) ของธนาคารพาณิชย์หรือกำหนดค่าธรรมเนียมกลาง เพื่อใช้ในการประกอบการทำประกันความเสี่ยง
ด้าน ดร.วีรไท ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ระบุว่าการแข็งค่าของเงินบาทเกิดจากปัจจัยภายนอกคือ การกำหนดนโยบายแบบผ่อนคลายของธนาคารกลางประเทศหลัก
ซึ่งสนับสนุน sentiment ของประเทศเกิดใหม่และประเทศไทย ส่งผลให้มีเงินทุนไหลเข้ามากขึ้น โดยเฉพาะจากนักลงทุนจากต่างประเทศซึ่งเริ่มกลับเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นของไทย ขณะที่ปัจจัยภายใน ประกอบไปด้วย 1. ดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยเกินดุลในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง ส่วนหนึ่งเกิดจากแรงเทขายทองคำยังไม่ได้ขึ้นรูป และจากการท่องเที่ยว 2. สถานการณ์ทางการเมืองในประเทศมีเสถียรภาพมากขึ้น 3. นักลงทุนมองเงินบาทในฐานะ Regional Safe-Haven จากปัจจัยพื้นฐานที่ดีเนื่องจากไทยได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าน้อยกว่าประเทศอื่น 4. การเพิ่มน้ำหนักหุ้นไทยในดัชนี MSCI และพันธบัตรไทยใน JP Morgan Index

ทั้งนี้ ธปท. ได้ดำเนินมาตรการรับมือประกอบไปด้วย 1) หารือกับผู้ประกอบการในกลุ่มสินค้าหลักเพื่อทราบสถานการณ์และผลกระทบที่แท้จริงจากการแข็งค่าของเงินบาท 2) ปรับปรุงมาตรการป้องปรามการเก็งกำไรค่าเงินบาท และเพิ่มความเข้มงวดในการรายงานข้อมูลการลงทุนในตราสารหนี้ของนักลงทุนต่างชาติ เพื่อเพิ่มแรงฝืดของเงินทุนไหลเข้าในระยะยาว ประกอบด้วย 2.1 ลดยอดคงค้างบัญชีเงินฝากสกุลบาทของผู้มีถิ่นที่อยู่นอกประเทศ จากเดิม 300 ล้านบาท เป็น 200 ล้านบาท ต่อราย และ 2.2 เพิ่มความเข้มงวดการรายงานข้อมูลยอดคงค้างการถือครองตราสารหนี้ไทยของนักลงทุนต่างชาติ โดยรายงานถึงระดับชื่อผู้ได้รับผลประโยชน์ที่แท้จริง (Ultimate Beneficial Ownership: UBO)

อย่างไรก็ตาม 1. อัตราดอกเบี้ยนโยบายที่แท้จริงของไทยอยู่ในระดับต่ำ 0.88% (Policy Rate 1.75% – Inflation 0.87%) ดังนั้นการลดดอกเบี้ยนโยบายจึงอาจไม่ช่วยลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์ และไม่ได้ช่วยลดเงินทุนไหลเข้าในระยะสั้น 2.การกำหนดมาตรการเพื่อป้องกันเงินทุนไหลเข้าระยะสั้นรุนแรงเกินไป อาจจะทำให้ต้นทุนเงินกู้ภาครัฐเพิ่มสูงขึ้น เช่นเดียวกับต้นทุนทางการเงินของธนาคารพาณิชย์จนเกิดผลกระทบต่อต้นทุนทางการเงินของภาคธุรกิจในประเทศ 3. การกำหนดนโยบายที่อาจนำไปสู่การเป็น Currency Manipulator จะมีผลกระทบด้านอื่นตามมาจากประเทศคู่ค้าสำคัญ ซึ่งอาจร้ายแรงกว่าผลกระทบจากค่าเงินบาทและอัตราดอกเบี้ยธปท. ขอความร่วมมือ สรท.

1. ขับเคลื่อนให้ผู้ประกอบการมีการบริหารความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนให้มากขึ้น 2. ร่วมมือในการป้องกันการสวมสิทธิ์การส่งออกไปยังสหรัฐฯ เพื่อช่วยลดมูลค่าการส่งออกไทยไปยังสหรัฐฯ และกำหนดกลไกความร่วมมือเพื่อให้เกิดการนำเข้าจากสหรัฐฯ มากขึ้น 3. ส่งเสริมให้ภาคเอกชนเพิ่มการลงทุนในต่างประเทศเพื่อลดการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดและเพิ่มศักยภาพการแข่งขันของไทย