“อาร์ เอส ที อินเตอร์เทรด 99” ขนส่งเมืองสุพรรณบุรีให้บริการด้วยคุณภาพทั้งมาตรฐานของรถและพนักงานขับที่มีระเบียบวินัย มั่นใจสินค้าถึงปลายทางด้วยความปลอดภัย ล่าสุดเปลี่ยนรถยกฟลีท ต่อกระบะให้เบาขึ้น เพื่อให้สอดรับกับปริมาณน้ำหนักเมื่อรวมรถกับสินค้า น้ำหนักไม่เกินที่กฎหมายกำหนด แต่ได้ปริมาณสินค้ามากขึ้น เผยยังไม่มีแผนวิ่งระยะทางไกลเพราะไม่คุ้มทุน อีกทั้งเศรษฐกิจโลกยังหดตัว
บริษัทอาร์ เอส ที อินเตอร์เทรด 99จำกัด เป็นบริษัทขนส่งในจังหวัดสุพรรณบุรี มีจุดเริ่มต้นจากธุรกิจโรงสี ซึ่งเป็นกิจการในครอบครัว ขณะนั้นต้องใช้รถในการขนส่งข้าวสาร ข้าวเปลือก จากโรงสีไปที่ท่าเรือและโกดังของลูกค้า ในเขตภาคกลาง และภาคเหนือตอนล่างอยู่แล้ว ประกอบกับช่วงนั้นธุรกิจโรงสีอยู่ในช่วงขาลง เนื่องจากฤดูแล้ง ปริมาณข้าวลดลง จึงมองเห็นโอกาสในการสร้างรายได้เพิ่มจากรถที่มีอยู่ ไปรับสินค้าจากที่อื่นด้วย โดยสินค้าหลักที่รับขนส่งเป็นพืชผลทางด้านการเกษตร ได้แก่ ข้าวสาร ข้าวเปลือก มันสำปะหลัง และข้าวโพด เป็นต้น

นายธนภัก ฉิมพันธ์ ประธานกรรมการ บริษัท อาร์ เอส ที อินเตอร์เทรด 99 จำกัด เปิดเผยว่าตนได้เริ่มต้นทำธุรกิจขนส่งอย่างจริงจังประมาณปี 2558 ให้บริการขนส่งสินค้าพืชผลทางการเกษตรบริเวณพื้นที่ จ.สุพรรณบุรี นนทบุรี ปทุมธานี และนครสวรรค์ ซึ่งเป็นเส้นทางระยะสั้น โดยใช้รถพ่วงหัวลาก ซึ่งขณะนี้มีประมาณ 50 พ่วง โดยเป็นรถใหม่ทั้งหมด เพิ่งเปลี่ยนยกฟลีทเมื่อปีที่แล้ว
การตัดสินใจเปลี่ยนรถทั้งหมดทั้งที่รถเดิมใช้ได้แค่ 3 ปี เนื่องจากรถเดิมมีขนาดน้ำหนักมากทั้งตัวรถและกระบะ ทำให้ขนส่งสินค้าได้น้อย แต่รถฟลีทใหม่ได้ต่อกระบะให้เบาที่สุดเพื่อการบรรทุกสินค้าได้มากขึ้น หลังจากที่รัฐได้กำหนดเรื่องน้ำหนักรวมไม่เกิน 50.5 ตัน ตันต่อรถ 1 คัน ถือว่าเป็นการเปลี่ยนรถให้คุ้มกับการขนสินค้าในแต่ละเที่ยว

การให้บริการของบริษัทฯ จะเลือกให้บริการระยะสั้นมองว่าคุ้มทุนกว่าการวิ่งทางไกล ซึ่งทางไกลการแข่งขันสูงและตัดราคา ในระหว่าง
ผู้ประกอบการด้วยกัน อีกทั้งต้องตีรถเที่ยวเปล่ากลับมา ถือว่าไม่คุ้ม จึงยังไม่คิดขยายให้บริการทางไกล ยิ่งเศรษฐกิจแบบนี้ ซึ่งเป็นทั้งระบบโลกต้องไปประคองไปก่อน สิ่งที่ อาร์ เอส ที อินเตอร์เทรด 99 ให้ความสำคัญในการทำธุรกิจ คือเน้นความสะอาดของกระบะรถบรรทุก เพราะสินค้าส่วนมากใช้แบบเทลงกระบะ นั้นคือข้าวที่มีหลายประเภท เมื่อมีการเปลี่ยนชนิดของข้าวในการขนส่งแต่ละครั้งมั่นใจได้ว่า จะไม่มีเศษข้าวของใหม่กับของเก่าปะปนกัน นอกจากนี้ยังเน้นเรื่องการขนส่งปลอดภัย โดยจากต้นทางถึงปลายทางสินค้าจะอยู่ในสภาพคงเดิมและอีกเรื่องที่บริษัทให้ความสำคัญคือ พนักงานขับรถที่เน้นความเป็นระเบียบ มีวินัยทางด้านการขับขี่  ซึ่งบริษัทการันตีว่าพนักงานขับรถแต่ละคนจะมีรายได้ไม่ต่ำกว่า 15,000 บาทต่อเดือน นอกจากนี้ ยังสร้างแรงจูงใจในการขับรถเพื่อการประหยัดพลังงาน ถ้าพนักงานขับรถขับประหยัดน้ำมันตามที่บริษัทกำหนดไว้ น้ำมันส่วนที่เหลือก็จะมาหารแบ่งกันตามข้อตกลง

“จากจำนวนรถ 50 คัน ก็ต้องมีการบริหารที่ดีเพื่อไม่ให้คันใดคันหนึ่งจอดนานๆ จะจัดการโดยสลับกันวิ่ง เพื่อความเป็นธรรม เนื่องจากสินค้าเกษตรไม่ได้พีคทั้งปี โดยสินค้าจะเริ่มมีมากและรถขนส่งได้เต็มที่ จะเริ่มตั้งแต่กลางเดือนสิงหาคม-เมษายน ส่วนสินค้าจะมีน้อยประมาณ 3 เดือน คือ พฤษภาคม-กรกฎาคม ปริมาณสินค้าเกษตรจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับน้ำ ถ้าปีไหนน้ำดี อุดมสมบูรณ์ ก็มีผลผลิตด้านเกษตรมากขึ้น ก็จะทำให้ขนส่งดีตามไปด้วย” นายธนภัก กล่าว และให้ความเห็นอีกว่า ขณะนี้ยังไม่ขยายไปรับสินค้าอย่างอื่น หรือขยายเส้นทางที่ไกลขึ้น เพราะอยู่ในช่วงเศรษฐกิจไม่ได้ นอกจากนี้ ผู้ผลิตรถส่วนมากมีกลุ่มที่รับขนส่งประจำอยู่ ถ้าเป็นเจ้าของสินค้ารายใหญ่ก็จะมีรถขนส่งเอง ตนก็ต้องรักษาฐานลูกค้าเดิมและบริการด้วยคุณภาพ