ผุด! QR Code ติดข้างรถแท็กซี่ สแกนร้องเรียน แก้ปฏิเสธผู้โดยสาร เริ่มภายในปีนี้ พร้อมยืนยัน ’ยังไม่ปรับขึ้นค่าโดยสาร‘
“มัลลิกา” สั่ง ขบ. จัดทำสติ๊กเกอร์ QR Code ติดประตูรถแท็กซี่ เพิ่มช่องทางผู้โดยสารสแกนร้องเรียน แก้ปัญหาปฏิเสธผู้โดยสาร ขู่โทษปรับ 2 พัน-พักใช้ใบอนุญาต ตั้งธงบังคับติดครบทุกคันกว่า 6.9 หมื่นคัน พร้อมเริ่มใช้ภายในปีนี้ ยืนยัน ยังไม่มีการปรับขึ้นค่าแท็กซี่ เผยนโยบาย Digital Taxi Meter ยังอยู่ระหว่างการศึกษาราคาที่เป็นธรรม ลุยรับฟังความเห็นทุกฝ่าย คาดประกาศใช้ได้ในรัฐบาลชุดใหม่
นางสาวมัลลิกา จิระพันธุ์วาณิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ได้มอบหมายให้กรมการขนส่งทางบก (ขบ.) ไปจัดทำสติ๊กเกอร์ QR Code เพื่อตรวจสอบตัวตนคนขับได้ทันที ป้องกันแท็กซี่เถื่อนหรือการสวมสิทธิ์ และมีช่องทางเชื่อมโยงไปยังระบบรับเรื่องร้องเรียนของ ขบ. โดยตรง ทำให้ผู้โดยสารสามารถแจ้งเหตุเมื่อถูกปฏิเสธได้ทันที ซึ่งเป็นมาตรการที่ทำให้ผู้โดยสารมั่นใจว่าปลอดภัยและตรวจสอบได้ โดยจะบังคับให้รถแท็กซี่ทุกคันที่ในปัจจุบันมีจำนวนกว่า 69,000 คัน ไปติดบริเวณประตูด้านนอกของรถแท็กซี่ทั้ง 2 ฝั่ง ขณะเดียวกัน รถแท็กซี่จะได้รับสติ๊กเกอร์ฯ เมื่อมาตรวจสภาพรถ อีกทั้ง ขบ. จะประสานไปยังผู้ประกอบการแท็กซี่ อาทิ อู่แท็กซี่ สหกรณ์แท็กซี่ ให้เข้ามารับสติ๊กเกอร์ฯ ซึ่งจะทำให้ผู้โดยสารสามารถสแกน QR Code ก่อนขึ้นใช้บริการ
ทั้งนี้ หากแท็กซี่ปฏิเสธผู้โดยสาร จะมีความผิดตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) รถยนต์ พ.ศ. 2522 มีโทษปรับไม่เกิน 2,000 บาท โดยจะมีการบันทึกประวัติ จากนั้นจะนำไปสู่การพักใช้ใบอนุญาตขับรถยนต์สาธารณะ หากกระทำผิดซ้ำตามเกณฑ์ที่กำหนด หรือหากเป็นเหตุการณ์ร้ายแรงที่กระทบต่อชื่อเสียงของประเทศ เช่น เหตุการณ์ที่เกี่ยวกับนักท่องเที่ยว สามารถนำไปสู่การพักใช้ใบอนุญาตฯ ได้ทันที อย่างไรก็ตาม คาดว่า จะเริ่มทยอยติดสติ๊กเกอร์ และดำเนินการติดครบทุกคันภายในปีนี้
นางสาวมัลลิกา ยังกล่าวถึงการดำเนินนโยบาย Digital Taxi Meter โดยยืนยันว่า จะไม่มีการปรับขึ้นอัตราค่าโดยสารรถแท็กซี่ตามที่มีกระแสข่าวแต่อย่างใด แต่กำลังศึกษาแนวทางค่าโดยสารที่เป็นธรรมให้สอดคล้องกับสภาวะเศรษฐกิจในตอนนี้ โดยนโยบาย Digital Taxi Meter ดังกล่าว ขณะนี้ อยู่ระหว่างการศึกษาที่ใกล้จะแล้วเสร็จ อย่างไรก็ตาม หลังจากนี้ จะต้องรับฟังความคิดเห็น และต้องได้รับการยอมรับจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งผู้ให้บริการ และผู้ใช้บริการ คาดว่า จะสามารถดำเนินการได้ในรัฐบาลชุดใหม่ ซึ่งหากมีผลบังคับใช้แล้ว จะใช้สำหรับรถใหม่ที่จดทะเบียนในอนาคตหรือภาคสมัครใจ โดยจะต้องไม่กระทบหรือเป็นภาระกับผู้ขับรถแท็กซี่ปัจจุบัน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริการของรถแท็กซี่ให้มีความทันสมัย โปร่งใส สร้างความมั่นใจให้กับผู้โดยสารมากขึ้นในอนาคต รวมถึงการบังคับใช้กฎหมายในการปราบปรามรถแท็กซี่ผิดกฎหมายอย่างเคร่งครัด
ขอยืนยันอีกครั้งว่า นโยบาย Digital Taxi Meter นี้ จะนำมาซึ่งประโยชน์ต่อทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ทั้งผู้โดยสารจะได้รับความปลอดภัยเพิ่มขึ้น ความโปร่งใสในการคิดค่าโดยสาร มีช่องทางร้องเรียนที่รวดเร็ว มีประสิทธิภาพ และเพิ่มความมั่นใจในการใช้บริการรถแท็กซี่โดยรวม ส่วนผู้ขับรถแท็กซี่ได้รับประโยชน์จากระบบการทำงานที่เป็นมาตรฐาน มีความเป็นธรรมในการแข่งขัน และช่วยยกระดับภาพลักษณ์ของวิชาชีพให้ดีขึ้น อีกทั้ง ขบ. มีข้อมูลที่แม่นยำสำหรับการวางแผนพัฒนาในอนาคต และช่วยยกระดับมาตรฐานการขนส่งสาธารณะของประเทศไทยให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น” นางสาวมัลลิกา กล่าว
ด้านนายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์ อธิบดี ขบ. กล่าวว่า นโยบาย Digital Taxi Meter นั้น ไม่ใช่เพียงการปรับเครื่องคิดค่าโดยสาร แต่จะมีช่องทางในการประเมินค่าโดยสาร เพื่อให้ประชาชนประมาณการค่าใช้จ่ายในการเดินทางได้ เพื่อยกระดับความเชื่อมั่นและความปลอดภัยของผู้ใช้บริการ โดยจะมีการนำระบบ GPS มาติดตั้งในมิเตอร์ เพื่อตรวจสอบค่าโดยสารกับรอบวิ่งจริง พร้อมแจ้งมาที่ ขบ. กรณีมีการคิดค่าโดยสารผิดปกติ นอกจากนี้ ระบบ GPS ยังสามารถนำข้อมูลมาใช้ประเมินผลการปฏิบัติงานของผู้ขับขี่ (KPI) หรือพฤติกรรมการขับรถได้อีกด้วย ขณะเดียวกัน Digital Taxi Meter จะเปิดโอกาสให้แท็กซี่รายเดิมเข้าร่วมได้ แต่จะต้องมีการปรับปรุงสภาพรถให้พร้อมใช้งาน ดูแลความสะอาด และผ่านการตรวจสภาพตามเกณฑ์ที่ ขบ. กำหนด แนวทางนี้จะช่วยให้ผู้ประกอบการแท็กซี่รายเดิมยังคงอยู่ในระบบได้ ขณะเดียวกันเป็นการยกระดับคุณภาพของรถแท็กซี่โดยรวม พร้อมทั้งสร้างความมั่นใจให้ประชาชนผู้ใช้บริการว่า จะได้รับบริการที่ปลอดภัย สะดวก และโปร่งใส ตรวจสอบได้ และไม่ถูกเอาเปรียบ