การเมืองงวด….รัฐเร่งเดินหน้าประเทศ

หากสังเกตจะเห็นว่าในช่วงเข้าโค้งสุดท้ายของปีนี้ รัฐบาลเร่งรัดโครงการขับเคลื่อนแผนงานต่างๆ โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับการปฏิรูปซึ่งได้มีการโหมโรงสัญญากับประชาชนไว้ในช่วงที่ คสช.เข้าช่องทางพิเศษมาเป็นรัฐบาล มีการเร่งขับเคลื่อนหลายโครงการเพื่อนำร่องรองรับการเมืองในอนาคต แสดงให้เห็นถึงการเมืองกำลังงวดเข้ามาทุกที

เริ่มจากนโยบายปฏิรูปประเทศในช่วงปลายปี 2557 ซึ่ง คสช.เข้ามาเป็นรัฐบาลมีการเข็น สปช.หรือสภาปฏิรูปแห่งชาติ มีการสรรหาผู้มีความรู้ความสามารถในด้านต่างๆ ทั้งจากภาครัฐและเอกชนให้เข้ามาทำหน้าที่จัดทำข้อเสนอแนะด้านการปฏิรูป ที่สำคัญร่างรัฐธรรมนูญฉบับอาจารย์บวรศักดิ์ฯ ที่ถูกคนตั้งตีตกไปและดูว่าการขับเคลื่อนของ สปช.อืดอาดไม่ถูกใจนำไปสู่การถูกยุบ ต่อมาในเดือนตุลาคมปี 2558 มีการตั้ง สปท.หรือสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ซึ่งงวดนี้ คสช.เลือกคนอย่างพิถีพิถันส่วนใหญ่เป็นอดีตทหารและข้าราชการ ผลงานเด่นคือรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 ฉบับอาจารย์มีชัยฯ ส่วนด้านอื่นๆ เป็นงานกระดาษส่งให้นายกฯ แล้วส่งต่อให้แต่ละกระทรวงไปขับเคลื่อน ส่วนใหญ่คงไม่ไปถึงไหน

โครงการที่รัฐบาลออกมาเร่งรัดในช่วงนี้เกี่ยวกับเร่งรัดเดินหน้ารถไฟฟ้า เช่น สายสีม่วงซึ่งเดิมคิดกันอย่างไรไม่รู้ด้วนขาดไม่เชื่อมกันอยู่ 1 กม. ถึงขั้นต้องใช้ ม.44 ลงมือเพิ่งเปิดใช้เมื่อต้นเดือนสิงหาคมนี้เอง อีกเส้นคือสายสีเหลืองพึ่งลงนามไปเมื่อ 2 เดือนที่แล้วใช้งบ 4-5 หมื่นล้านบาท ซึ่งก่อนหน้านี้ลงนามก่อสร้างเส้นสีส้มงบ 8.3 หมื่นล้านบาท อีกทั้งในเดือนนี้มีการอนุมัติเส้นทางรถไฟไฮสปีดเทรน กทม.-โคราช งบ 1.8 แสนล้านบาท นัยจะให้มีการลงนามสัญญากับจีนภายในเดือนกันยา

สิ่งที่รัฐบาลเร่งทำในโค้งสุดท้ายสำหรับปีนี้คือเมื่อสัปดาห์ที่แล้วค.ร.ม.มีการตั้งคณะกรรมการปฏิรูปประเทศ ส่วนใหญ่เป็นขาเก่ารู้ใจกันเพื่อเดินหน้าแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี เพื่อเป็นการเตรียมรับลูกแผนงานต่างๆซึ่ง คสช.ได้ดำเนินการไปก่อนหน้านี้ โดยให้ไปจัดทำแผนปฏิบัติการและยุทธศาสตร์ชาติแบบเบ็ดเสร็จไปถึงปี 2580 หลายคนดูอายุอานามทำแผนเสร็จแล้วคงต้องไปดูผลในชาติหน้า

ตามมาติดๆ สองวันนี่เองนายกฯ มีคำสั่งตั้งกรรมการขับเคลื่อนนโยบายไทยแลนด์ 4.0 นายกฯ เข้ามาเป็นประธานและกำหนดไว้เลยว่าตำแหน่งนี้นายกรัฐมนตรีทุกสมัยต้องเข้ามาเป็นประธานโดยตำแหน่ง นอกนั้นมีกรรมการมาจากปลัดกระทรวงต่างๆ และหัวหน้าหน่วยราชการที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งนักธุรกิจระดับบิ๊กของประเทศเข้ามาร่วมเป็นผู้ทรงคุณวุฒิกำหนดกรอบในการขับเคลื่อนแผนงาน

ส่วนตัวแล้วผมสนับสนุนนโยบายนี้ ถึงแม้จะดูเลื่อนลอยและออกไปในแนวเชิงวิสัยทัศน์ แต่ประเทศไทยขาดนโยบายเชิงรุกเป็นแผนระยะยาวมานานแล้ว เพียงแต่กรรมการชุดนี้ปรับแต่งอย่าให้เวอร์ไป ให้สอดคล้องกับความเป็นจริงและอย่าเน้นเนื้อหาวิชาการจนปฏิบัติไม่ได้ หน่วยงานรัฐต่างๆกำลังมึนว่าจะเดินหน้ากันอย่างไร ช่วงต้นปีเร่งให้ออกยุทธศาสตร์ต่างก็เขียนออกมาโดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่า 4.0 คืออะไร ไม่เป็นไรครับ…หากไม่เริ่มต้นนับหนึ่งก็คงไม่ไปถึงไหนที่สำคัญไทยแลนด์ 4.0 สิ่งที่ยากที่สุดในการขับเคลื่อนคือการปรับเปลี่ยนแนวคิดหรือมายเซ็ต (Mindset) ของข้าราชการเกี่ยวข้องทั้งกฎหมาย ข้อบังคับ รวมทั้งวัฒนธรรม-จารีตที่ฝังลึกเป็นศตวรรษแก้ตรงนี้ไม่ได้ก็ไม่ไปถึงไหน

อีกด้านที่มีความสำคัญคือการ Set Zero กกต.หรือคณะกรรมการการเลือกตั้งซึ่งดูเหมือนว่าจะไปขัดกับแนวทางรัฐธรรมนูญฉบับ คสช. เมื่อต้นเดือนสิงหาคม สนช.ด้วยคะแนนเสียงท่วมท้นผ่านมติยุบ กกต. หลังจากที่หน่วยงานนี้ดูแลการเลือกตั้งต่อเนื่องมา 19 ปี โดยก่อนหน้านี้ได้มีการยกเลิก กกต.จังหวัดให้ใช้ผู้ตรวจการเลือกตั้งทำหน้าที่แทน นัยการเซ็ตซีโร่ “กกต.” คงหนีไม่พ้นเพื่อให้การเลือกตั้งที่ (หาก) จะมีในปีหน้าต้องการคนใหม่มาใช้กติกาใหม่ เช่น ระบบไพรมารีโหวตและเปลี่ยน กกต. จากเดิมมี 5 ท่านเปลี่ยนเป็น 7 ท่าน ซึ่งคงไม่ต้องบอกว่าสเปกจะเป็นอย่างไร

ด้านเศรษฐกิจล่าสุดรัฐบาลอาจใช้มาตรา 44 เร่งการลงทุนของเอกชน โดยตั้งเป็นกองทุนร่วมลงทุนสนับสนุนกลุ่มสตาร์ทอัพ โดยกระทรวงการคลังจะมีการออกเป็นกฎหมายเพื่อให้เอกชนเร่งการลงทุน เนื้อหาให้ครอบคลุมทั้งนักลงทุนไทยและต่างชาติและทุนรายย่อย เหตุผลหลักเพราะการลงทุนของไทยกลายเป็น “คนป่วยของอาเซียน” ซึมยาวต่อเนื่องมาหลายปี การลงทุนจริงต่ำกว่าเมื่อ 20 ปีที่แล้ว เมื่อเทียบกับประเทศในภูมิภาคเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติหายไปถึงร้อยละ 40 แต่สิ่งที่รัฐพึงเข้าใจการลงทุนของเอกชนไม่สามารถใช้กฎหมายอะไรไปเร่งให้เกิดการลงทุน หากเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสม ลงทุนแล้วไม่เจ๊งเห็นกำไร ไม่มีความเสี่ยงเอกชนเขาลงทุนกันเองไม่ต้องห่วง

สุดท้ายเพราะเนื้อที่กระดาษหมด คงต้องจับตาแบบไม่กระพริบถึงผลตัดสินของศาลคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองของอดีตนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ฯ ในวันศุกร์ที่กำลังจะถึงนี้ กองเชียร์มากน้อยคงไม่ใช่ประเด็นเพราะคงมาช่วยซับน้ำตาให้กำลังใจ เพราะคนระดับอดีตนายกรัฐมนตรีขึ้นศาลไม่มีคนเห็นใจคงเป็นเรื่องแปลก แต่ผลคำตัดสินของศาลไม่ว่าจะด้านใดถึงแม้จะอุทธรณ์ได้ล้วนแต่มีผลกระทบชี้ชะตาการเมืองไทยแน่นอน คนที่ระทึกใจคงไม่ใช่มีแต่คุณยิ่งลักษณ์ฯ แต่หลายคนที่มีอำนาจคงลุ้นอยู่เหมือนกัน…..จริงไหมครับ

(สนใจรายละเอียดเพิ่มเติมดูได้ทางเว็บไซต์ www.tanitsorat.com หรือ www.facebook.com/tanit.sorat)