ด่วน! ครม.ไฟเขียวมอเตอร์เวย์ M7 เชื่อมอู่ตะเภา 1.92 กม. มูลค่า 4,508 ล้าน คาดเริ่มสร้าง ก.ย. 66 เปิดใช้ฟรีปลายปี 68

ครม.ไฟเขียวก่อสร้างโครงการมอเตอร์เวย์ หมายเลข 7 ส่วนต่อขยายเชื่อมต่อสนามบินอู่ตะเภาวงเงิน  4,508 ล้าน ระยะทางรวม 1.92 กม. คาดตอกเสาเข็ม .. 66 แล้วเสร็จพร้อมเปิดให้บริการฟรีช่วงปลายปี 68 รองรับปริมาณจราจร 2.2 หมื่นคัน

นางสาวไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันนี้ (14 มิ.. 2565) มีมติอนุมัติให้กรมทางหลวง (ทล.) ดำเนินงานก่อสร้างโครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง(มอเตอร์เวย์) หมายเลข 7 (M7) ส่วนต่อขยายเชื่อมต่อสนามบินอู่ตะเภา วงเงินรวม 4,508 ล้านบาท ระยะทางรวม1.92 กิโลเมตร (กม.)

ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลังจัดหาเงินกู้สำหรับค่าก่อสร้างและค่าควบคุมงานตามแผนบริหารหนี้สาธารณะ และให้สำนักงบประมาณจัดสรรงบประมาณสำหรับค่าจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินวงเงิน 108 ล้านบาท รวมถึงเงินงบประมาณสมทบกับแหล่งเงินกู้ โดยอัตราส่วนของแหล่งเงินกู้และเงินงบประมาณสมทบให้เป็นไปตามที่กระทรวงการคลังทำความตกลงกับแหล่งเงินกู้

สำหรับโครงการมอเตอร์เวย์หมายเลข 7 ส่วนต่อขยายเชื่อมต่อสนามบินอู่ตะเภา มีวัตถุประสงค์เพื่อรองรับการจราจรที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคตบริเวณสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก ซึ่งสนามบินอู่ตะเภาจะเปิดให้บริการเป็นสนามบินนานาชาติเชิงพาณิชย์หลักแห่งที่ 3 ในปี 2568 โดยจะเป็นการก่อสร้างทางยกระดับเชื่อมต่อจากทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 7 ช่วงพัทยามาบตาพุด ถัดจากด่านเก็บค่าธรรมเนียมผ่านทางอู่ตะเภาเข้าสู่อาคารผู้โดยสารหลังที่ 3 ของสนามบินอู่ตะเภาโดยตรง

นอกจากนี้ โครงการดังกล่าว จะช่วยลดระยะทางสู่สนามบินอู่ตะเภาจากเดิม 5 กม. เหลือ 1.92 กม. โดยไม่มีการเก็บค่าธรรมเนียมผ่านทางเพิ่ม รวมถึงทางเลี้ยวและทางแยกต่างระดับบริเวณจุดตัดกับถนนสุขุมวิท คาดว่าเมื่อเปิดให้บริการในปี 2568 จะมีปริมาณจราจรประมาณ 22,000 คันต่อวัน และเพิ่มเป็น 41,300 คันต่อวันในปี 2597 หรือปีที่30 ของโครงการ

สำหรับมูลค่าโครงการนั้น รวม 4,508 ล้านบาท จะแบ่งเป็น ค่าก่อสร้าง ค่าจ้างที่ปรึกษาควบคุมงาน และเงินเผื่อเหลือเผื่อขาดรวม 4,400 ล้านบาท ใช้จ่ายจากเงินกู้ตามแผนบริหารหนี้สาธารณะปีงบประมาณ 2565  และค่าจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินจำนวน 108 ล้านบาท ใช้จ่ายจากเงินงบประมาณระยะเวลาก่อสร้างระหว่างปี 2565-2567

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าโครงการนี้ จะไม่มีผลตอบแทนทางการเงิน เพราะไม่มีรายได้จากการเก็บค่าธรรมเนียมผ่านทางในบริเวณส่วนต่อขยาย แต่เมื่อวิเคราะห์อัตราผลตอบแทนทางเศรษฐกิจ (EIRR) ของโครงการพบว่า มีค่า14.79% ซึ่งสูงกว่าค่ามาตรฐานที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) กำหนดที่ 12% แสดงว่าโครงการฯมีความเหมาะสมที่จะลงทุน

ด้านนายปิยพงษ์ จิวัฒนกุลไพศาล ผู้อำนวยการสำนักแผนงาน ทล. กล่าวว่า หลังจากที่ ครม.มีมีติเห็นชอบโครงการดังกล่าวฯแล้ว ขั้นตอนหลังจากนี้กระทรวงการคลังจะดำเนินการจัดหาเงินกู้จากต่างประเทศ สำหรับค่าก่อสร้างและค่าควบคุมงานตามแผนบริหารหนี้สาธารณะ ภายในต้นปี 2566 จะเริ่มกระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง ซึ่งจะใช้เวลา 7-8 เดือนคาดว่าจะสามารถลงนามจัดซื้อจัดจ้างกับผู้รับเหมาและเริ่มดำเนินการก่อสร้างภายใน .. 2566 และจะเร่งรัดให้เริ่มเปิดใช้งานได้ภายในปลายปี 2568