ทอท.โชว์รายได้ครึ่งปี 3.2 หมื่นล้าน ลุ้น!! รัฐบาลใหม่ไฟเขียวลงทุนสนามบิน

ทอท. ลุ้นรัฐบาลใหม่ไฟเขียวลงทุนสนามบินใหม่ มูลค่ากว่า 2 แสนล้านบาท ช่วยอัพปริมาณรองรับผู้โดยสาร 68 ล้านคน ด้าน “นิตินัย” เผยจ่อฟันกำไรทะลุปีละ 4 หมื่นล้านบาท ฟาก “รายได้” ครึ่งปีแรกกวาดรายได้ 3.2 หมื่นล้านบาท

นายนิตินัย ศิริสมรรถการ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. เปิดเผยถึงแผนพัฒนาสนามบินเพื่อเพิ่มขีดศักยภาพการรองรับของประเทศว่า ขณะนี้มีแผนลงทุนเตรียมเสนอรัฐบาลใหม่ มูลค่ารวมวงเงินรวม 2.02 แสนล้านบาท ประกอบด้วย โครงการสนามบินภูเก็ตแห่งที่ 2 วงเงินลงทุน 7.5 หมื่นล้านบาท รองรับ 10 ล้านคน/ปี, โครงการสนามบินเชียงใหม่แห่งที่ 2 รองรับ 10 ล้านคน/ปี, โครงการอาคารผู้โดยสารหลังที่ 2 สนามบินสุวรรณภูมิ วงเงิน 4.2 หมื่นล้าน รองรับได้ 30 ล้านคนต่อปี, โครงการดอนเมืองเฟส 3 วงเงินลงทุน 3.2 หมื่นล้านบาท รองรับได้ 18 ล้านคน/ปี และโครงการรับโอน 4 สนามบินภูมิภาค ได้แก่ สนามบินอุดรธานี สนามบินสกลนคร สนามบินตากและสนามบินชุมพร วงเงินลงทุน 3.5 พันล้านบาท สำหรับแผนทั้งหมดนี้อยู่ระหว่างรอเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรี หรือ ครม.ในรัฐบาลใหม่ให้เข้ามาอนุมัติเดินหน้าโครงการต่อไป

ทั้งนี้ ในส่วนของสนามบินภูเก็ต 2 และสนามบินเชียงใหม่ 2 นั้น เมื่อรัฐบาลใหม่อนุมัติการลงทุนแล้ว คาดว่าจะใช้เวลาในการจัดกรรมสิทธิ์และเวนคืนที่ดินประมาณ 1 ปี ทั้งในรูปแบบซื้อต่อ และในรูปแบบการเวนคืน จากนั้นจะใช้เวลาก่อสร้าง 4 ปี คาดว่าจะเปิดบริการในปี 2568 โดยมีแนวโน้มที่จะทำสนามบินใหม่ทั้ง 2 แห่งให้เป็นสนามบินนานาชาติ (International Airport) เพื่อแก้ปัญหานักท่องเที่ยวล้นในสนามบินที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ในส่วนของโครงการรับโอน 4 สนามบินจากกรมท่าอากาศยาน หรือ ทย.นั้น ขณะนี้ได้ตกลงหารือร่วมกับกรมธนารักษ์และกรมท่าอากาศยาน จนได้ข้อสรุปชัดเจนแล้วจึงส่งเรื่องไปยังกระทรวงคมนาคมพิจารณา รอเสนอ ครม.เพื่อทราบ หากได้รับอนุมัติจะเดินหน้าพัฒนาสนามบินอุดรธานีให้เป็น International Airport พร้อมจ่ายงบลงทุนไปยังทั้ง 4 สนามบิน

ขณะที่โครงการดอนเมืองเฟส 3 นั้น ตอนนี้อยู่ในขั้นตอนการจัดทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ควบคู่ไปกับขั้นตอนการเสนอโครงการไปยังฝ่ายนโยบาย ส่วนโครงการอาคารผู้โดยสารหลังที่ 2 สุวรรณภูมิ (Terminal 2) ล่าสุด เมื่อปลายเดือนที่แล้ว ได้ส่งเรื่องชี้แจงกลับไปยังสภาพัฒน์และกระทรวงคมนาคมว่า ต้องการผลักดันโครงการต่อไป จึงอยู่ระหว่างการรออนุมัติความเห็นชอบ หากได้รับอนุมัติจะเดินหน้าจัดจ้างงานออกแบบโครงการทันที ก่อนเปิดประมูลงานก่อสร้างต่อไป ตั้งเป้าแล้วเสร็จเปิดใช้งานในปี 2565-2566

นายนิตินัย กล่าวต่ออีกว่า ปีนี้คงต้องปรับเป้าประมาณการผู้โดยสารทั้งปีลงเหลือ 2% จากเดิมตั้งเป้า 7-8% หลังจากที่ในช่วง 6 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2562 (ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2561 – พฤษภาคม 2562) มีผู้โดยสารจำนวน 97.23 ล้านคน เพิ่มขึ้น 1.78% แบ่งเป็นผู้โดยสารระหว่างประเทศ 57.06 ล้านคน เพิ่มขึ้น 3.72% และผู้โดยสารภายในประเทศ 40.17 ล้านคน ลดลง 0.85% ขณะที่รายได้ในช่วง 6 เดือนแรก คิดเป็น 3.28 หมื่นล้านบาท และมีค่าใช้จ่าย 15,275.45 ล้านบาท และค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้ 3,565.42 คิดเป็นกำไรประมาณ 1.4 หมื่นล้านบาท

ดังนั้น จึงมั่นใจว่ากำไรในปีนี้จะใกล้เคียงหรือสูงกว่า 2.7 หมื่นล้านบาท จากปัจจัยสนับสนุนในช่วงตลาดท่องเที่ยว
ปลายปีและการเติบโตของผู้โดยสารในช่วงเดือน ก.ค.-ก.ย. อย่างไรก็ตาม ในปี 2563-2564 คาดว่าจะได้เห็นการเติบโตของรายได้และกำไรอย่างก้าวกระโดด หลังจากเริ่มรับรู้รายได้ในธุรกิจเสริมที่เตรียมเปิดดำเนินการ อาทิ รับรู้กำไรจากดิวตี้ฟรีเพิ่มปีละ 1.5 หมื่นล้านบาท หรือกำไรอาจสูงถึงปีละ มากกว่า 4 หมื่นล้านบาทในอนาคต ตลอดจนรับรู้รายได้จากธุรกิจขนส่งสินค้า (Cargo) และธุรกิจดิจิทัล (AOT Application) เป็นต้น