‘การรถไฟฯ’ จ่อชง ครม.ไฟเขียวทางคู่ เฟส 2 รวม 6 เส้นทาง มูลค่า 2.9 แสนล้านภายใน ธ.ค.นี้ พร้อมเดินหน้ารถไฟท่องเที่ยว หลังปี 68 กวาดรายได้ 72 ล้าน
“การรถไฟฯ” จ่อชง ครม. ธ.ค.นี้ ไฟเขียวรถไฟทางคู่ เฟส 2 รวม 6 เส้นทาง มูลค่าว่า 2.9 แสนล้าน เล็งเปิดประมูล 3 เส้นทางภายในปี 69 คาดประเดิมเส้นทาง “ชุมพร-สุราษฎร์ฯ” พร้อทหนุนการเดินทางสู่แหล่งท่องเที่ยวเส้นทางสายใต้ “หัวหิน-ประจวบคีรีขันธ์” เดินหน้าแผนการตลาดท่องเที่ยวทางราง เผยปี 68 กวาดรายได้กว่า 72 ล้าน
นายอนันต์ โพธิ์นิ่มแดง รองผู้ว่าการการรถไฟแห่งประเทศไทย รักษาการในตำแหน่งผู้ว่าการการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เปิดเผยว่า รฟท. ได้เร่งรัดดำเนินการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานให้แล้วเสร็จตามแผนงาน โดยโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ระยะที่ 1 จำนวน 7 เส้นทาง เปิดให้บริการไปแล้ว 5 เส้นทาง ประกอบด้วย 1.ช่วงชุมทางฉะเชิงเทรา–คลองสิบเก้า-แก่งคอย ระยะทาง 106 กิโลเมตร (กม.) 2.ช่วงชุมทางถนนจิระ-ขอนแก่น ระยะทาง 187 กม. 3.ช่วงนครปฐม-หัวหิน ระยะทาง 169 กม. 4.ช่วงหัวหิน-ประจวบคีรีขันธ์ ระยะทาง 84 กม. และ 5.ช่วงประจวบคีรีขันธ์-ชุมพร ระยะทาง 167 กม.
ขณะที่ อีก 2 เส้นทาง ที่เปิดใช้งานเกือบเต็มระบบ ได้แก่ ช่วงลพบุรี-ปากน้ำโพ ระยะทาง 148 กม. เปิดใช้เส้นทางเมื่อช่วง พ.ค. 2568 ที่ผ่านมา และจะเปิดใช้เต็มระบบในวันที่ 5 ธ.ค. 2568 และช่วงมาบกะเบา-ชุมทางถนนจิระ ระยะทาง 132 กม. คาดว่าจะเปิดให้บริการเต็มระบบในปี 2570 นอกจากนี้ รฟท. ยังได้เดินหน้าโครงการก่อสร้างเส้นทางคู่สายใหม่เพื่อเชื่อมโยงการค้าภูมิภาค โดยโครงการช่วงเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ ทั้ง 3 สัญญา มีความคืบหน้าเร็วกว่าแผนงานโดยเฉลี่ย 3-4% ขณะที่โครงการช่วงบ้านไผ่-มุกดาหาร-นครพนม ทั้ง 2 สัญญา มีความคืบหน้า 61.09% ปัญหาเนื่องจากการเวนคืนที่ดิน ส่งมอบพื้นที่ก่อสร้างได้ล่าช้า

นายอนันต์ กล่าวต่อว่า สำหรับโครงการรถไฟทางคู่ ระยะที่ 2 จำนวน 7 เส้นทาง มูลค่ารวม 297,924 ล้านบาท ประกอบด้วย รถไฟทางคู่ ช่วงขอนแก่น–หนองคาย เพื่อเชื่อมต่อรถไฟความเร็วสูงไทย-ลาว-จีน ซึ่งเริ่มก่อสร้างเมื่อ เม.ย. 2568 ยังมีความคืบหน้าช้ากว่าแผนเล็กน้อย ส่วนเส้นทางระยะที่ 2 อื่นๆ อีก 6 เส้นทาง เตรียมเสนอให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาในช่วง ธ.ค. 2568 เบื้องต้นคาดว่าในปี 2569 จะเปิดประมูลอย่างน้อย 3 เส้นทาง ประกอบด้วย 1.ช่วงชุมพร-สุราษฎร์ธานี ระยะทาง 168 กม. วงเงิน 30,422 ล้านบาท, 2.ช่วงสุราษฎร์ธานี-ชุมทางหาดใหญ่-สงขลา ระยะทาง 321 กม. วงเงิน 66,270 ล้านบาท และ 3.ช่วงชุมทางหาดใหญ่-ปาดังเบซาร์ ระยะทาง 45 กม. วงเงิน 7,772 ล้านบาท
ทั้งนี้ รถไฟทางคู่เส้นทางสายใต้ 3 เส้นทางดังกล่าว จะทยอยเปิดประมูลทีละเส้นทาง ห่างกันประมาณ 2 เดือนโดยหากผ่านความเห็นชอบจาก ครม. อาจเริ่มประมูลเส้นทางช่วงชุมพร-สุราษฎร์ธานี เป็นลำดับแรก ตามด้วยช่วงชุมทางหาดใหญ่-ปาดังเบซาร์ โดย 2 เส้นทางนี้ไม่มีอุปสรรคใด ส่วนช่วงสุราษฎร์ธานี-ชุมทางหาดใหญ่-สงขลา ประมูลสุดท้าย เนื่องจากช่วงหาดใหญ่-สงขลา ปิดใช้ทางตั้งแต่ปี 2527 และปัจจุบันมีผู้บุกรุกตลอดเส้นทางประมาณ 20 กม. ดังนั้น ช่วงสุราษฎร์ธานี-ชุมทางหาดใหญ่-สงขลา อาจแบ่งเป็น 3 สัญญา ได้แก่ ช่วงสุราษฎร์ธานี-ทุ่งสง, ช่วงทุ่งสง-หาดใหญ่ และช่วงหาดใหญ่-สงขลา เพื่อเริ่มงานในส่วนที่ไม่มีผู้บุกรุกไปก่อน
นอกจากนี้ อีก 3 เส้นทาง ประกอบด้วย ช่วงปากน้ำโพ-เด่นชัย ระยะทาง 281 กม. วงเงินประมาณ 81,143 ล้านบาท, ช่วงชุมทางถนนจิระ-อุบลราชธานี ระยะทาง 308 กม. วงเงิน 44,095 ล้านบาท และช่วงเด่นชัย-เชียงใหม่ ระยะทาง 189 กม. วงเงิน 68,222 ล้านบาท จะทยอยเปิดประมูลต่อไป ส่วนรถไฟทางคู่ ช่วงสุราษฎร์ธานี-พังงา-ท่านุ่น ที่ออกแบบเสร็จสิ้นและอยู่ระหว่างรอการพิจารณารายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) สำหรับโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่สายใต้ ช่วงนครปฐม – ชุมพร ปัจจุบันได้เปิดใช้งานทางคู่ตลอดเส้นทางแล้ว โดยใช้ระบบทางสะดวกอิเล็กทรอนิกส์ (E-token) แม้ความคืบหน้าของโครงการโดยรวมอยู่ที่ 72.491% คาดว่า จะเปิดใช้งานได้เต็มระบบในปี 2569 ซึ่งจะช่วยลดระยะเวลาการเดินทางลงสู่ภาคใต้ได้อย่างมาก

นายอนันต์ กล่าวอีกว่า ด้านผลการดำเนินงานรถไฟนำเที่ยว ประจำปีงบประมาณ 2568 (ต.ค. 2567 – ก.ย. 2568) มีนักท่องเที่ยวใช้บริการทั้งสิ้น 186,488 คน สร้างรายได้รวม 72.13 ล้านบาท โดยรายได้หลัก 66.55 ล้านบาท มาจากการจัดเดินขบวนรถนำเที่ยว ซึ่งขบวนที่ทำรายได้สูงสุดคือ ขบวน Royal Blossom (28.46 ล้านบาท) และขบวน KIHA 183 (21.58 ล้านบาท) ทั้งนี้ รฟท. มีบริการขบวนรถท่องเที่ยวหลากหลายรูปแบบ ทั้งขบวนรถที่วิ่งประจำวันเสาร์-อาทิตย์ (เช่น สวนสนประดิพัทธ์, น้ำตกไทรโยคน้อย), ขบวนรถจักรไอน้ำที่ให้บริการใน 7 โอกาสพิเศษตลอดปี และขบวนรถนำเที่ยวเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ตามฤดูกาล (พ.ย.-ม.ค.) นอกจากนี้ รฟท. ยังมีรายได้จากแพคเกจนำเที่ยวร่วมกับมหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง 5.58 ล้านบาท และรายได้สนับสนุนการท่องเที่ยวอื่น ๆ อีก 40.49 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่มาจากการให้บริการเช่าเหมาขบวน 39.29 ล้านบาท และการลากจูงขบวนรถของมาเลเซีย 1.20 ล้านบาท
สำหรับแผนงานพัฒนาการท่องเที่ยวทางรถไฟในปีงบประมาณ 2569 รฟท. จะมุ่งขยายฐานการตลาด โดยเปิดโอกาสให้ภาครัฐและเอกชนสามารถเช่ารถเหมาขบวนเพื่อจัดทริปท่องเที่ยวได้เองตลอดทั้งปี พร้อมทั้งจะพัฒนาโครงการ “Scenic routes” และ “Luxury route” โดยใช้รถโดยสารปรับอากาศชั้นดีจัดทริปในเส้นทางธรรมชาติที่สวยงามไปยังทุกภูมิภาคต่างๆ เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในประเทศ เพื่อก่อให้เกิดการกระจายรายได้สู่ท้องถิ่น สร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชนเศรษฐกิจฐานรากของประเทศ อีกทั้ง เป็นการเพิ่มการใช้บริการทางรถไฟ ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวของรัฐบาล โดยใช้ศักยภาพทางด้านระบบขนส่งสาธารณะของประเทศเป็นเครื่องมือในการกระตุ้นให้เกิดการเดินทางท่องเที่ยวตลอดทั้งปีอีกด้วย
