’มัลลิกา‘ สั่ง ขบ. ลุย Quick Win ใน 4 เดือน ดัน ‘ดิจิทัล มิเตอร์’ ยุติปัญหาแท็กซี่ปฏิเสธ ผดส. พร้อมเร่ง ‘สถานีขนส่งสินค้าสุราษฎร์ฯ’
“มัลลิกา” สั่ง ขบ. ลุย Quick Win ใน 4 เดือน ปรับโฉมขนส่งไทยยุคใหม่ ดัน “ดิจิทัล แท็กซี่มิเตอร์” ยุติปัญหาแท็กซี่ปฏิเสธผู้โดยสาร คาดได้ข้อสรุป ธ.ค.นี้ ยันเป็นธรรมทุกฝ่าย พร้อมหนุนเปิดศูนย์โลจิสติกส์ทั่วประเทศ หนุนระบบขนส่งอัจฉริยะเชื่อมต่อไร้รอยต่อ อัพเดท “สถานีขนส่งสินค้า @สุราษฎร์” จ่อเสนอ ครม. ในปี 69 เล็งเปิดให้บริการในปี 74
นางสาวมัลลิกา จิระพันธุ์วาณิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยภายหลังมอบนโยบายดำเนินการงาน และแนวทางการขับเคลื่อนภารกิจสำคัญของกรมการขนส่งทางบก (ขบ.) วันที่ 17 ต.ค. 2568 ว่า ขบ. ถือเป็นหน่วยงานที่มีความสำคัญในการกำกับดูแล ให้ระบบการขนส่งทางถนนให้มีความปลอดภัย โดยมอบนโยบายการดำเนินการ เพื่อขับเคลื่อนตามภารกิจกรมการขนส่งทางบก ให้สอดคล้องกับนโยบายที่สำคัญของรัฐบาล และนโยบายกระทรวงคมนาคม
สำหรับนโยบายที่มอบให้กับ ขบ. นั้น แบ่งออกเป็น 2 ส่วนหลัก คือ 1.นโยบายเร่งด่วนเพื่อแก้ไขปัญหาของประชาชน (Quick Win) อาทิ อำนวยความสะดวกในการเดินทาง ให้มีความปลอดภัย ตรงต่อเวลา ราคาสมเหตุสมผล โดยพัฒนา Digital Taxi Meter เพื่อสร้างมาตรฐานค่าโดยสารที่เป็นธรรม โปร่งใส และพัฒนา DLT One APP เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้บริการแอปฯ ของ ขบ.

ทั้งนี้ การดำเนินงานของ ขบ.ที่ผ่านมา มองมุมของผู้ใช้บริการค่อนข้างมาก ตอนนี้คงต้องมาให้ความสำคัญกับผู้ให้บริการด้วย ซึ่งทราบว่า ขบ. อยู่ระหว่างปรับปรุงแอพพลิเคชันให้ใช้งานสะดวก ไม่ซ้ำซ้อน รวมทั้งยังมีนโยบายที่จะปรับปรุงมิเตอร์แท็กซี่ โดยใช้ระบบ Digital Taximeter ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน ต้นทุนน้ำมัน ชั่วโมงการจราจรติดขัด เพื่อทำให้ค่าโดยสารมีความเป็นธรรมมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม นโยบายปรับปรุงมิเตอร์แท็กซี่ยังมีเป้าหมายเพื่อแก้ปัญหาแท็กซี่ปฏิเสธผู้โดยสาร เพราะเชื่อว่าการปรับมิเตอร์ให้เป็นธรรม จะทำให้แท็กซี่ไม่ปฏิเสธการให้บริการ อีกทั้ง ต้องยอมรับว่าอัตราค่าโดยสารในปัจจุบันใช้มานานหลายสิบปี และพบว่าปัจจุบันรายได้เฉลี่ยต่อวันของผู้ขับขี่เทียบเท่ากับค่าแรงขั้นต่ำเท่านั้น เนื่องจากต้นทุนที่สูงขึ้น และค่าบริการต่อเที่ยวลดลง ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักที่ทำให้จำนวนแท็กซี่ลดลงอย่างมาก จากช่วงก่อนโควิดมีจำนวน 100,000 คัน ปัจจุบันเหลือเพียง 60,000 – 65,000 คัน

นางสาวมัลลิกา กล่าวต่อว่า ยังได้มอบนโยบายให้ ขบ. ผลักดันโครงการ Quick Win ให้เร่งรัดโครงการสถานีขนส่งสินค้า (Truck Terminal) ที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างให้สามารถเปิดให้บริการได้โดยเร็ว เช่น ศูนย์การขนส่งชายแดนจังหวัดนครพนม เปิดให้บริการภายในต้นปี 2569 และศูนย์เปลี่ยนถ่ายรูปแบบการขนส่งสินค้าเชียงของ จังหวัดเชียงราย โดยการก่อสร้างระยะที่ 2 จะแล้วเสร็จภายในปี 2569
นอกจากนี้ เร่งรัดเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่ออนุมัติโครงการร่วมลงทุน (PPP) คือ สถานีขนส่งสินค้าจังหวัดสุราษฎร์ธานี พร้อมทั้งมอบหมายให้ ขบ. ไปพิจารณาพัฒนาการดำเนินการของสถานีขนส่งสินค้า 3 แห่ง ประกอบด้วย สถานีขนส่งสินค้าพุทธมณฑล, สถานีขนส่งสินค้าคลองหลวง และสถานีขนส่งสินค้าร่มเกล้า เพื่อสนับสนุนและรองรับระบบโลจิสติกส์ของประเทศ
รายงานข่าวจากกระทรวงคมนาคม ระบุว่า สำหรับความคืบหน้าโครงการสถานีขนส่งสินค้าจังหวัดสุราษฎร์ธานี ปัจจุบันอยู่ระหว่างการดำเนินการทบทวนผลการศึกษา และจัดทำรายงานการศึกษาและวิเคราะห์โครงการร่วมลงทุน ก่อนเสนอขออนุมัติโครงการต่อกระทรวงคมนาคม ภายใน ม.ค. 2569 หากกระทรวงคมนาคมเห็นชอบ จะเสนอต่อคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (คณะกรรมการ PPP) และ ครม. ภายในปี 2569 หลังจากนั้นจะดำเนินการออกพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน (พ.ร.ฎ.เวนคืนที่ดิน) ควบคู่กับการจัดทำร่างประกาศเชิญชวน และร่างเอกสารการร่วมลงทุนฯ ภายในปี 2570 และเริ่มก่อสร้างภายในปี 2572 พร้อมเปิดให้บริการภายในปี 2574

2.การวางรากฐานด้านคมนาคมสำหรับอนาคต (Big Win) ในภาพรวม ให้ขับเคลื่อนดำเนินการ อาทิ ขับเคลื่อนการลงทุน และกำกับดูแลการก่อสร้าง ให้ส่งเสริมการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน (PPP), พัฒนาระบบ Feeder เชื่อมต่อระบบคมนาคมอย่างไร้รอยต่อ และยกระดับบริการขนส่งสาธารณะ, ทบทวนกฎหมายของตนเอง ให้มีความทันสมัย ยืดหยุ่น รองรับเทคโนโลยีที่จะเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว, สนับสนุนส่งเสริมภาคอุตสาหกรรมของประเทศ เพิ่มขีดความสามารถทางการค้ากับประเทศเพื่อนบ้าน, ตอกย้ำและสร้างจิตสำนึกด้านความปลอดภัย โดยให้พิจารณาการจัดตั้ง National Transport Safety Board, ศึกษาอัตราค่าโดยสารที่เหมาะสม เป็นธรรม
สำหรับด้านการคมนาคมทางบก ให้เร่งยกระดับบริการขนส่งสาธารณะทั้งระบบ จัดให้มีระบบขนส่งสาธารณะในเมืองใหญ่ในภูมิภาค สำหรับเมืองท่องเที่ยวให้พิจารณาระบบขนส่งสาธารณะเชื่อมต่อกับสนามบินและแหล่งท่องเที่ยว และพิจารณาอัตราค่าโดยสาร ให้มีความเหมาะสมและเป็นธรรม สำหรับรถโดยสารพลังงานไฟฟ้ามาให้บริการ ของ ขสมก. ที่จะเข้ามาทดแทน รถร้อนทั้งหมด
ทั้งนี้ เร่งรัดดำเนินการ Quick Win ให้เห็นผลได้อย่างชัดเจนเป็นรูปธรรมได้ ภายใน 4 เดือน เพื่อตอบสนองนโยบายรัฐบาลและนโยบายของกระทรวงคมนาคม และเพื่อแก้ไขปัญหาให้กับพี่น้องประชาชนในระยะเร่งด่วน พร้อมทั้งวางรากฐานด้านคมนาคมสำหรับอนาคตที่เป็น Big Win เพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง เพื่อ และวางรากฐานระบบคมนาคมของประเทศให้ยั่งยืน และประโยชน์สุขของประชาชนต่อไป

ด้านนายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์ อธิบดีกรมการขนส่งทางบก กล่าวว่า ขบ. มีภารกิจในการกำกับ ดูแล ตรวจสอบ ตรวจตราให้มีการปฏิบัติตามกฎหมาย รวมถึงการวางแผนให้มีการเชื่อมต่อการขนส่งรูปแบบอื่น เพื่อให้ระบบการขนส่งสาธารณะเกิดความคล่องตัว สะดวก รวดเร็ว และปลอดภัยในราคาสมเหตุสมผล ทั้งนี้ ขบ.จะนำนโยบายของนางสาวมัลลิกา ไปพัฒนาการดำเนินงานให้ตอบสนองความต้องการและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนต่อไป
ขณะที่ การปรับมิเตอร์แท็กซี่จะศึกษาแล้วเสร็จ ได้ข้อสรุป ธ.ค. 2568 โดย ขบ.ยืนยันว่า จะไม่มีการปรับอัตราค่าโดยสาร จะยังคงเป็นเกณฑ์เดิม สูตรราคาเดิม แต่ Digital Taximeter จะสามารถคำนวณ การจราจร และ GPS ที่แม่นยำ แต่ขณะเดียวกันในช่วงเวลารถติด ช่วงโมงเร่งด่วน เพื่อความเป็นธรรมแก่แท็กซี่ จะมีการคำนวณจัดเก็บค่าธรรมเนียมเพิ่มเติม (Surcharge) โดยกรอบราคาจะเป็นอย่างไรนั้น ยังอยู่ในช่วงของการศึกษา
Digital Taximeter เป็นระบบที่ใช้ในเกาหลีและญี่ปุ่นแทน โดย ขบ.ยืนยันว่าเป็นการปรับเทคโนโลยี ไม่ใช่ปรับราคา ดังนั้นค่าโดยสารจะยังคงใช้สูตรราคาเดิมทุกอย่าง แต่สามารถนำปัจจัยอื่นๆ มาคำนวณตามสูตรได้อย่างแม่นยำและยืดหยุ่นมากขึ้น” นายสรพงศ์ กล่าว
นายสรพงศ์ กล่าวต่อว่า การปรับมิเตอร์แท็กซี่นั้น จะมีการใช้สูตรคำนวณอัตราค่าโดยสารแท็กซี่เดิม โดยจะยังคงอัตราเริ่มต้น 35 บาท ระยะทางเกินกว่า 1 – 10 กิโลเมตร (กม.) คิดอัตรา 6.50 บาท/ กม. ขณะที่ค่ารถติด คือ ไม่สามารถเคลื่อนที่หรือเดินรถต่อไปได้เกินกว่า 6 กม./ชม. คิดอัตรา 3 บาท/นาที แต่ในส่วนของช่วงชั่วโมงเร่งด่วน (เช้า, เย็น และหลังเวลา 21.00 น.) ที่อาจจะมีสภาพการจราจรติดขัด แต่จะใช้ระบบดิจิทัลมิเตอร์ ซึ่งจะมีระบบนำทาง GPS เพื่อคำนวณอัตราค่าโดยสารที่เป็นปัจจุบันในช่วงเวลาขณะนั้น โดยมีราคาที่เป็นธรรม ตามกรอบระยะเวลา และระยะทางที่ใช้ในระบบ GPS เช่น ค่าเสียเวลาต่างๆ ที่เคยมีจากการคิดเองล่วงหน้า ปรับเป็นการคิดตามระบบฐานข้อมูล GPS ว่าช่วงใดที่มีการจราจรติดขัด เป็นต้น อย่างไรก็ตาม การใช้สูตรคำนวณดังกล่าว ยืนยันว่า จะเป็นธรรมกับทั้ง 2 ฝ่าย คือ ผู้ให้บริการ และผู้ใช้บริการ
