‘ท่าเรือระนอง’ โตต่อเนื่อง คาดปี 68 ขนส่งตู้สินค้า 6,400 ที.อี.ยู. ดันต้นแบบ ‘แลนด์บริดจ์’ ลุยเปิดขนส่งหลายโหมด เชื่อม 5 เส้นทาง
“ท่าเรือระนอง” ยอดตู้สินค้าปีงบ 68 พุ่งแรง คาดตู้สินค้าผ่านท่า 6,400 ที.อี.ยู. พร้อมเป็นต้นแบบเมกะโปรเจกต์ “แลนด์บริดจ์” เสริมบทบาทประตูการค้าอันดามัน เชื่อมโยงเศรษฐกิจการค้าไทยสู่เวทีโลก ลุยเปิดโครงการ Multimodal Transport เที่ยวปฐมฤกษ์ขยายเครือข่ายขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบ เชื่อม 5 เส้นทางเศรษฐกิจขนส่งทางน้ำระดับภูมิภาค
นายเกรียงไกร ไชยศิริวงศ์สุข ผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) เปิดเผยว่า ท่าเรือระนองถือเป็นท่าเรือที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการค้าระหว่างประเทศ ด้วยทำเลซึ่งเป็นประตูการค้าสำคัญที่เชื่อมโยงฝั่งอันดามันกับประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาคเอเชียใต้ ตะวันออกกลาง แอฟริกา ยุโรป รวมถึงกลุ่มประเทศ BIMSTEC อีกทั้งยังตั้งอยู่ในตำแหน่งยุทธศาสตร์สำคัญบนฝั่งทะเลอันดามันของประเทศไทย ปัจจุบันท่าเรือระนองมีศักยภาพรองรับการขนส่งสินค้าทั้งตู้คอนเทนเนอร์และสินค้าทั่วไป โดยมีผลการดำเนินงานในรอบ 11 เดือน (ตุลาคม 2567 – สิงหาคม 2568) มีปริมาณตู้สินค้าผ่านท่า 6,300 ที.อี.ยู. สินค้าผ่านท่า 186,000 ตัน และเรือผ่านท่า 235 เที่ยว
ทั้งนี้ คาดการณ์ว่าตลอดทั้งปีงบประมาณ 2568 นี้ จะมีปริมาณตู้สินค้าผ่านท่า 6,400 ที.อี.ยู. เพิ่มขึ้น 140% และสินค้าผ่านท่า 196,000 ตัน ลดลง 39% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า แม้ปริมาณสินค้าทั่วไปจะปรับตัวลดลงจากการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จากประเทศเมียนมา แต่ในภาพรวมยังคงมีสินค้าที่มีการส่งออกเพิ่มขึ้น เช่น กระดาษม้วน ปูนซีเมนต์ อุปกรณ์สุขภัณฑ์ ปุ๋ย เม็ดพลาสติก ยางรถยนต์ เป็นต้น อีกทั้งการขยายตัวของตู้สินค้าซึ่งเป็นปัจจัยจากสถานการณ์ภายในประเทศเมียนมาที่ทำให้ผู้ประกอบการเปลี่ยนมาใช้เส้นทางผ่านท่าเรือระนองมากขึ้น รวมถึงการเปิดสัมปทานการสำรวจแหล่งปิโตรเลียมในประเทศเมียนมาทำให้มีกลุ่มของเรือสนับสนุนปฏิบัติงานทางทะเลมีการใช้บริการผ่านท่าเรือระนองเพิ่มขึ้น ทั้งหมดนี้สะท้อนถึงศักยภาพและความเชื่อมั่นที่ผู้ประกอบการมีต่อท่าเรือระนอง
นายเกรียงไกร กล่าวต่อว่า ท่าเรือระนองยังมีข้อได้เปรียบด้านภูมิศาสตร์ที่เชื่อมตรงสู่อ่าวเบงกอล จึงมีบทบาทเชิงยุทธศาสตร์ในการเป็น Western Gateway ของประเทศไทยไปยังกลุ่มประเทศ BIMSTEC และภูมิภาคอื่นๆ ในอนาคต โดยได้มีการขยายความร่วมมือกับท่าเรือพันธมิตรในภูมิภาค BIMSTEC และอาเซียน ผ่านการลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ร่วมกับท่าเรือที่มีศักยภาพในประเทศบังกลาเทศ อินเดีย และศรีลังกา ซึ่งได้มีการประชุมเชิงปฏิบัติการ (Joint Working Group Meeting) อย่างต่อเนื่อง เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลและหารือแนวทางพัฒนาความร่วมมือเกี่ยวกับท่าเรือระหว่างกันในอนาคต รวมถึงสนับสนุนการค้าและโลจิสติกส์ระหว่างประเทศ อันจะช่วยผลักดันท่าเรือระนองสู่การเป็นศูนย์กลางการค้าและโลจิสติกส์ที่สำคัญในภูมิภาค ซึ่งการขนส่งสินค้าในเส้นทางระนอง–BIMSTEC ไม่ใช่เพียงแค่การเชื่อมต่อท่าเรือกับท่าเรือ แต่เป็นการเชื่อมเศรษฐกิจของไทยเข้ากับโอกาสใหม่ในภูมิภาคเอเชียใต้ โดยรัฐบาลไทยพร้อมสนับสนุนการใช้ประโยชน์จากเส้นทางนี้เพื่อขยายโอกาสทางการค้า การลงทุน และการสร้างพันธมิตรเชิงยุทธศาสตร์ในระดับภูมิภาค
ทั้งนี้ กทท. พร้อมเดินหน้าพัฒนาท่าเรือระนองทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐานและระบบการบริหารจัดการให้มีความทันสมัยสอดคล้องกับมาตรฐานสากล เพื่อยกระดับคุณภาพการให้บริการด้านโลจิสติกส์ ผลักดันท่าเรือระนองให้เป็นท่าเรือยุทธศาสตร์ที่สนับสนุนการค้า การขนส่งระหว่างประเทศ ตอบรับการเติบโตของเศรษฐกิจในอนาคต รวมทั้งการจัดหาเครนและเครื่องมือทุ่นแรงใหม่ การปรับปรุงคลังสินค้าและท่าเทียบเรือ ตลอดจนการเชื่อมโยงเครือข่ายถนน–ราง–อากาศ เพื่อรองรับปริมาณสินค้าที่จะเพิ่มขึ้น และลดการพึ่งพาช่องแคบมะละกา เสริมศักยภาพการแข่งขันของไทยในตลาด BIMSTEC และอาเซียน
สำหรับ Positioning ของท่าเรือระนองในอนาคต หากรัฐบาลเริ่มมีการพัฒนาโครงการแลนด์บริดจ์ ที่จะเชื่อมโยงท่าเรือชุมพร กับ ท่าเรือระนองแห่งใหม่ เพื่อสร้างเส้นทางลัดการค้าระหว่างอ่าวไทยกับฝั่งอันดามัน บทบาทของท่าเรือระนองจะปรับบทบาทจากท่าเรือหลัก ไปเป็นท่าเรือสนับสนุนที่เน้นตลาดเฉพาะ (Niche Market) เช่น สินค้าแช่แข็ง สินค้าชายแดนไทย-เมียนมา และสินค้า Fast-track ฯลฯตลอดจนการมุ่งสู่การเป็นฐานโลจิสติกส์และศูนย์กระจายสินค้าที่จะสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มด้านคลังสินค้า เพื่อสนับสนุนการค้าชายแดนและภูมิภาค (BIMSTEC, South Asia) และดึงดูดธุรกิจ SME หรือธุรกิจท้องถิ่นให้มาใช้บริการ ซึ่งเป็นการพลิกบทบาทจากท่าเรือหลักสู่ฐานสนับสนุนแลนด์บริดจ์
นอกจากนี้ ท่าเรือระนองยังสามารถทำหน้าที่เตรียมเป็นพื้นที่ต้นแบบ (Sandbox) ให้กับโครงการ แลนด์บริดจ์ในเชิงนโยบายและปฏิบัติการ โดยเป็นฐานทดลองระบบโลจิสติกส์หลายด้าน เช่น การเชื่อมโยงการขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบ (Multimodal Transport) ระบบดิจิทัล ระบบการจัดการของกรมศุลกากร และการทดลองโมเดล Green Port เพื่อรองรับมาตรการด้านสิ่งแวดล้อม ซึ่งการเป็นพื้นที่ต้นแบบนี้จะทำให้ท่าเรือระนองเดิมเป็นแม่แบบสำคัญที่ขยายผลและต่อยอดไปสู่การพัฒนาท่าเรือระนองแห่งใหม่ของโครงการ Land bridge ให้ประสบความสำเร็จในอนาคตได้อย่างยั่งยืนต่อไป
สำหรับข้อมูลทั่วไปท่าเรือระนองมีท่าเทียบเรือ 2 ท่า ได้แก่ ท่าเทียบเรืออเนกประสงค์ความยาว 134 เมตร รองรับเรือสินค้าไม่เกิน 500 ตันกรอส และท่าเทียบเรือตู้สินค้าความยาว 150 เมตร รองรับเรือสินค้าไม่เกิน 12,000 เดดเวทตัน อีกทั้งยังมีร่องน้ำกว้าง 120 เมตร ลึก 8 เมตร จากระดับน้ำลงต่ำสุด ระยะทาง 28 กิโลเมตร ซึ่งเหมาะสมต่อการเดินเรือและการขนส่งสินค้าขนาดใหญ่ นอกจากนี้ยังมีพื้นที่จัดเก็บสินค้าทั้งคลังสินค้า ลานวางสินค้าทั่วไป และลานวางตู้คอนเทนเนอร์ รวมพื้นที่มากกว่า 36,000 ตารางเมตร รองรับตู้คอนเทนเนอร์ได้สูงสุดถึง 648 ที.อี.ยู.
ขณะเดียวกัน ล่าสุด กทท.ได้เปิดพื้นที่ท่าเรือระนอง จัดพิธีเปิดโครงการขนส่งสินค้าต่อเนื่องหลายรูปแบบ (Multimodal Transport) เส้นทาง สปป.จีน–ลาว–ไทย–เมียนมา–กลุ่ม BIMSTEC พร้อมเปิดการขนส่งเที่ยวปฐมฤกษ์ไปยังท่าเรือย่างกุ้ง ประเทศเมียนมา นับเป็นอีกก้าวสำคัญของท่าเรือระนองในการยกระดับบทบาทสู่ศูนย์กลางการค้าทางทะเลฝั่งอันดามันของไทยและเชื่อมโยงเครือข่ายเศรษฐกิจระดับภูมิภาคอย่างเป็นรูปธรรม
ทั้งนี้ พิธีดังกล่าวจัดขึ้นเพื่อประชาสัมพันธ์เส้นทางการขนส่งสินค้าใหม่ในรูปแบบ Multimodal Transport ที่เชื่อมโยงการขนส่งหลายรูปแบบทั้งทางรถบรรทุก ทางรถไฟ และทางเรือเข้าด้วยกันอย่างไร้รอยต่อ โดยมีท่าเรือระนองเป็นจุดเชื่อมโยงยุทธศาสตร์ ที่สามารถขยายโอกาสทางการค้าและการลงทุนในภูมิภาคอาเซียนและเอเชียใต้ ตลอดจนสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ลูกค้า ผู้ประกอบการ ผู้รับจัดการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศและสายการเดินเรือ
นายเกรียงไกร กล่าวอีกว่า ท่าเรือระนองถือเป็นท่าเรือของภาครัฐเพียงแห่งเดียวที่ตั้งอยู่บนชายฝั่งทะเลอันดามัน และเป็นเสมือนประตูการค้าของไทยที่เปิดสู่ภูมิภาค BIMSTEC ได้โดยตรงการเปิดเส้นทาง Multimodal Transport ครั้งนี้นอกจากจะช่วยสร้างโอกาสใหม่ทางเศรษฐกิจแล้ว ยังแสดงถึงความมุ่งมั่นของ กทท. ที่จะพัฒนาท่าเรือระนองให้เป็นศูนย์กลางการค้าและการขนส่งที่ทันสมัย โปร่งใส และยั่งยืน พร้อมเชื่อมโยงเศรษฐกิจไทยกับภูมิภาคและโลก
สำหรับการขนส่งสินค้าจากท่าเรือระนองไปยังประเทศต่าง ๆ จะใช้เวลาเดินทางเพียง 3 วันถึงท่าเรือย่างกุ้ง เมียนมา, 4 วันถึงท่าเรือจิตตะกอง ประเทศบังคลาเทศ, 6 วันถึงท่าเรือเจนไน ประเทศอินเดีย และท่าเรือโคลัมโบ ประเทศศรีลังกา จากเดิมที่ต้องใช้เวลาประมาณ 14 – 21 วัน กว่าจะสินค้าส่งถึงท่าเรือเหล่านี้ ทั้งหมดนี้แสดงถึงศักยภาพในการลดระยะเวลาและต้นทุนการขนส่งได้อย่างชัดเจน ซึ่งสามารถสร้างความได้เปรียบเชิงแข่งขันให้แก่ผู้ประกอบการไทยและต่างประเทศ
สำหรับการดำเนินโครงการนี้ได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากบริษัท ไทยทรานสปอร์ต เซ็นเตอร์ จำกัด ร่วมกับพันธมิตรทางธุรกิจ ได้แก่ บริษัท เอสซีจี เจดับเบิ้ลยูดี โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) บริษัท Ever Flow River Group Public Co., Ltd. จากเมียนมา บริษัท เอสพีที สมาร์ท ครีเอชั่น จำกัด โดยมีเป้าหมายพัฒนาระบบการขนส่งที่ทันสมัยและเชื่อมต่อได้หลายรูปแบบอย่างไร้รอยต่อ โดยมีท่าเรือระนองเป็นท่าเรือหลักในการกระจายสินค้าไปยังประเทศในภูมิภาค BIMSTEC (บังกลาเทศ ภูฏาน อินเดีย เมียนมา เนปาล ศรีลังกา และไทย) ซึ่งเป็นตลาดที่มีศักยภาพสูงและกำลังซื้อเติบโตอย่างต่อเนื่อง และได้มีการจัดทำปฏิญญาความร่วมมือทางเศรษฐกิจและวิชาการร่วมกันมาแล้ว
อย่างไรก็ตาม โครงการ Multimodal Transport เที่ยวปฐมฤกษ์ที่เริ่มต้นจากท่าเรือระนองครั้งนี้ เป็นก้าวสำคัญของความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน ที่มีส่วนผลักดันให้ประเทศไทยก้าวขึ้นมาเป็นศูนย์กลางการค้าสำคัญในภูมิภาคอันดามันและ BIMSTEC มุ่งสู่เป้าหมายในการสร้างระบบขนส่งที่รวดเร็ว ทันสมัย และคุ้มค่า ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนโลจิสติกส์ สร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน ขยายโอกาสสู่ตลาดใหม่ ตอบโจทย์การค้าโลกที่เปลี่ยนแปลงและเสริมศักยภาพให้เศรษฐกิจของประเทศเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนในระยะยาว