’พิพัฒน์‘ มอบนโยบายคมนาคม ยุครัฐบาล 4 เดือน ลุยลดค่าเดินทาง เบรคแก้สัญญาไฮสปีด 3 สนามบิน เร่งโปรเจกต์งบปี 69-เคลียร์งานล่าช้า
“พิพัฒน์” นั่งหัวโต๊ะ มอบนโยบาย “คมนาคม” เดินหน้าโครงการ-มาตรการยุครัฐบาล 4 เดือน คงมาตรการรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย “แดง-ม่วง” ลุยตั้งคณะกรรมการร่วม ศึกษาการขยายผล จ่อชง “อนุทิน” ภายใน 15 พ.ย.นี้ พร้อมดันตั๋วร่วม–ลดค่ารถเมล์–ค่าทางด่วน สั่งเบรคแก้สัญญาไฮสปีดเชื่อม 3 สนามบิน ลั่น! ไม่ทำให้รัฐเสียหาย ด้าน “มัลลิกา” ย้ำทุกโครงการต้องเห็นผลจริง-ประชาชนได้ประโยชน์
นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า วันนี้ (1 ต.ค. 2568) ได้มอบนโยบายและทิศทางการทำงานของกระทรวงคมนาคม ภายใต้นโยบายรัฐบาล นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี โดยยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง มุ่งเน้นในการยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชน และการยกระดับการแข่งขันของประเทศไทยในเวทีโลก เพื่อการเติบโตของเศษฐกิจของประเทศไทยอย่างยั่งยืน ภายใต้แนวคิด “เดินทางสะดวก ปลอดภัย ลดภาระประชาชน วางโครงสร้างพื้นฐานสมัยใหม่ เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจ สู่ศูนย์กลางคมนาคมของภูมิภาค” เดินทางสะดวก ปลอดภัย ลดภาระประชาชน เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจ สู่ศูนย์กลางคมนาคมของภูมิภาค
ทั้งนี้ สิ่งแรกที่กระทรวงคมนาคมจะเร่งดำเนินการ คือ มาตรการลดภาระค่าใช้จ่ายของประชาชนทันที โดยการคงมาตรการรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย 2 โครงการที่ได้ดำเนินการมาแล้วใน 2 โครงการ คือ รถไฟฟ้าสายสีแดง และรถไฟฟ้าสายสีม่วง ไปจนถึงวันที่ 30 พ.ย. 2568 ซึ่งเป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เดิมเมื่อวันที่ 29 พ.ย. 2567 ที่ผ่านมา ซึ่งนายกรัฐมนตรี มีข้อสั่งการให้กระทรวงคมนาคม ไปจัดทำแผน และตั้งคณะกรรมการร่วมกับกระทรวงการคลัง เพื่อศึกษาและหาแนวทางการดำเนินมาตรการว่า จะเดินหน้ามาตรการต่อไปหรือไม่ เนื่องจากมาตรการรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายของรัฐบาลชุดเก่า มีผู้ทักท้วงว่า หากดำเนินมาตรการระยะเวลา 1 ปี ภาครัฐจะต้องสนับสนุนงบประมาณกว่า 20,000 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม คณะทำงานร่วมฯ จะต้องสรุปและส่งข้อมูลให้นายกรัฐมนตรีพิจารณาภายในวันที่ 15 พ.ย. 2568 เพื่อพิจารณาว่า หลังจากวันที่ 30 พ.ย. 2568 เมื่อสิ้นสุดมาตรการแล้ว จะดำเนินการอย่างไรต่อไป ขณะเดียวกัน ภายในระยะการทำงานของรัฐบาลช่วง 4 เดือนนี้ จะได้ข้อสรุปในส่วนของแพ็คเกจการลดค่าครองชีพในการเดินทางของประชาชน เช่น การลดค่ารถเมล์ การลดค่าทางด่วน เป็นต้น นอกจากนี้ ยังรวมถึงการเดินหน้าระบบตั๋วร่วม ซึ่งขณะนี้ อยู่ระหว่างการเร่งขับเคลื่อนร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ตั๋วร่วม พ.ศ. …. ที่อยู่ในขั้นตอนการพิจารณาของสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) โดยในอนาคตการเดินทางทุกระบบจะใช้บัตรโดยสารใบเดียว และราคาที่เหมาะสม
นายพิพัฒน์ กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ จะส่งเสริมในการนำรถเมล์ไฟฟ้า (EV) มาใช้เพื่อทดแทนรถร้อน ซึ่งนำมาสู่การยกระดับการบริการและลดมลภาวะต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งตอนนี้องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) อยู่ระหว่างการดำเนินโครงการเช่ารถโดยสารประจำทางปรับอากาศ EV จำนวน 1,520 คัน เพื่อทดแทนรถเมล์ธรรมดา (รถเมล์ร้อน) เดิมที่มีอายุการใช้งานมากว่า 30 ปี วงเงิน 15,355 ล้านบาท โดยจะส่งมอบล็อตแรกภายในวันที่ 30 ก.ย. 2568 และครบ 1,520 คันภายใน 180 วัน ทั้งนี้ จะพิจารณาค่าโดยสารในราคา 8 บาท ตามค่าโดยสารรถเมล์ร้อนเดิม พร้อมหารือกลุ่มผู้ใช้บริการว่าจะดูแลอย่างไร อาทิ กลุ่มผู้สูงอายุ นักเรียน นักศึกษา และนักศึกษาจบใหม่
ท่านนายกฯ ได้กำชับว่า ปีนี้สภาวะเศรษฐกิจไม่ดี จะต้องกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยการเอางบเหลือจ่ายในปีงบ 2568 ไปใช้ในโครงการต่างๆ ซึ่งได้ให้นโยบายว่า อะไรที่สามารถทำได้ ให้รีบดำเนินการในการกระตุ้นเศรษฐกิจ กระตุ้นการใช้จ่าย เพื่อสนับสนุนการสร้างงานด้วย” นายพิพัฒน์ กล่าว
นายพิพัฒน์ กล่าวต่อว่า จะเร่งเดินหน้าโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน (ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา) เนื่องจากโครงการดังกล่าว มีความล่าช้ามากว่า 6 ปีแล้ว โดยรัฐบาลชุดที่ผ่านมาได้มีการพูดคุย แต่ยังไม่ได้ข้อสรุป ดังนั้น จากการหารือร่วมกับนายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคมนั้น ตนจะไปหารือร่วมกับการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) และเอกชนผู้รับสัมปทาน คือ บริษัท เอเชีย เอรา วัน จำกัด หรือกลุ่มซีพีว่า จะเดินหน้าต่อไปอย่างไร อีกทั้ง หาทางออกที่เป็นไปได้ร่วมกัน ซึ่งในช่วงของการดำรงตำแหน่ง 4 เดือน รวมถึงในระหว่างการรอการเลือกตั้ง และจัดตั้ง ครม. ชุดใหม่นั้น ยืนยันว่า จะต้องทำตามสัญญาที่กำหนด ไม่แก้ไขสัญญา โดยจะไม่ดำเนินการอะไรที่ทำให้รัฐเสียหาย พร้อมทั้งไม่ได้เปิดช่องให้เอกชนแก้ไขสัญญา คือ เอกชนจะต้องดำเนินการก่อสร้างก่อน และภาครัฐจ่ายเงินทีหลัง
จะเชิญผู้ประกอบการ และ EEC มาหารือร่วมหาทางออกในโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน เพราะโครงการล่าช้ามานานกว่า 6 ปี ซึ่งผมยืนยันว่า อะไรที่รัฐเสียหาย ผมจะไม่ทำ นอกจากนี้ ผมไม่สามารถไปบอกยกเลิกสัญญา เพราะถ้ายกเลิก ก็จะโดนปรับ คือ ไม่สามารถเปิดช่องให้เอกชนแก้สัญญา ถ้าผิดกฎหมาย ไม่เอา ตอนนี้ เอกชนต้องสร้างก่อน รัฐจ่ายทีหลัง ต้องทำตามสัญญา เพราะถ้าแก้สัญญาแล้วมีใครฟ้องร้อง ใครจะรับผิดชอบ ผมไม่รับผิดชอบ“
นายพิพัฒน์ กล่าว
นายพิพัฒน์ กล่าวอีกว่า ขณะเดียวกัน ได้มอบหมายกรมทางหลวง (ทล.) เร่งดำเนินโครงการบนถนนพระราม 2 คือ โครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง (มอเตอร์เวย์) หมายเลข 82 (M82) โดยกำหนดเปิดเป็น 2 ช่วง คือ ระยะที่ 1 ทางต่างระดับบางขุนเทียน–เอกชัย เป็นระยะทาง 8.3 กิโลเมตร (กม.) ภายใน ต.ค. 2568 และ ระยะที่ 2 เอกชัย-บ้านแพ้ว ระยะทางรวม 16.3 กม. โดยเร่งการเปิดใช้บริการให้ทันก่อนเทศกาลสงกรานต์ปี 2569 ส่วนการเปิดใช้มอเตอร์เวย์สาย M81 (บางใหญ่–กาญจนบุรี) นั้น จะเปิดบางช่วงที่เชื่อมต่อกับโครงการทางพิเศษ (ทางด่วน) พระราม 3-ดาวคะนอง ของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) ภายใน ต.ค. 2568 และมอเตอร์เวย์สาย M6 (บางปะอิน–โคราช) จะเปิดทดลองให้ใช้บริการตลอดสายทางในช่วงต้นปี 2569 รวมถึงการเปิดสะพานมิตรภาพไทย–ลาวแห่งที่ 5 ที่จังหวัดบึงกาฬ–บอลิคำไซ ที่คาดว่า จะเปิดให้บริการภายใน ธ.ค. 2568 นี้
นอกจากนี้ ตนได้ยังได้แบ่งงาน และมอบหมายให้นางสาวมัลลิกา จิระพันธุ์วาณิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม กำกับดูแล 4 หน่วยงานในสังกัดกระทรวงคมนาคม ประกอบด้วย กรมท่าอากาศยาน (ทย.), บริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด (บวท.), กรมการขนส่งทางบก (ขบ.) และบริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) อย่างไรก็ตามนโยบายคมนาคมในยุครัฐบาลนี้ จะเป็นการพัฒนาระบบคมนาคมเพื่อการยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีสำหรับประชาชน และยกระดับการแข่งขันของประเทศไทยในเวทีโลก เพื่อการเติบโตของเศษฐกิจของประเทศไทยอย่างยั่งยืน
ด้านนางสาวมัลลิกา จิระพันธุ์วาณิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า พวกเราพร้อมทำงานอย่างใกล้ชิดกับทุกฝ่ายเพื่อขับเคลื่อนนโยบายด้านคมนาคมของรัฐบาลให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมในระยะเวลาที่รวดเร็วที่สุด พร้อมเร่งในการดำเนินการยกระดับงานด้านคมนาคมของประเทศไทยเพื่อให้เกิดประโยชน์อันสูงสุดต่อพี่น้องประชาชน พร้อมย้ำว่า “ทุกโครงการที่ดำเนินการ จะต้องทำได้จริง และพี่น้องประชาชนได้ประโยชน์จริง”