‘บิ๊กตู่’ บุกด่านกัมพูชา เชื่อมเส้นทางรถไฟ พ่วงฉลองสะพานมิตรภาพไทย-กัมพูชา

“บิ๊กตู่” ลงพื้นที่ด่านชายแดนกัมพูชา ปธ. MOU เดินรถไฟร่วมกันไทย-กัมพูชา พร้อมส่งมอบรถดีเซลราง ขณะเดียวกัน ร่วมเฉลิมฉลองความสำเร็จในการก่อสร้างสะพานมิตรภาพไทย – กัมพูชา (บ้านหนองเอี่ยน – สตึงบท) ด้วย

นายวรวุฒิ มาลา รองผู้ว่าการกลุ่มธุรกิจการบริหารทรัพย์สิน รักษาการในตำแหน่งผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย หรือ รฟท. เปิดเผยว่า การรถไฟฯ ได้จัดพิธีลงนามความตกลงการเดินรถไฟร่วมกัน ระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา พิธีมอบรถดีเซลราง และพิธีเปิดสถานีรถไฟด่านพรมแดนบ้านคลองลึก โดยมีพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีฝ่ายไทย และสมเด็จอัคคมหาเสนาบดีเดโชฮุน เซน นายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา เป็นประธานร่วมในพิธีสำหรับ สาระสำคัญและความเป็นมาของทั้ง 3 พิธี ดังนี้  1.ความตกลงการเดินรถไฟร่วมกันระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา ในอดีตฝ่ายไทย-กัมพูชา เคยมีการเดินรถในปี 2485 ซึ่งมีการปิด-เปิด การเดินรถหลายครั้ง และมีการเดินรถครั้งสุดท้ายในเดือนกรกฎาคม 2517 ทั้งนี้ ทั้ง 2 ฝ่ายได้มีการลงนามบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชาว่าด้วยการเชื่อมโยงเครือข่ายทางรถไฟ เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2557 ฝ่ายไทยและกัมพูชาได้จัดตั้งคณะทำงานเพื่อจัดทำร่างความตกลงฯ และได้ร่วมกันหารือเพื่อพัฒนาร่างความตกลงฯ มาอย่างต่อเนื่อง และในการหารือครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 3 เมษายน 2562 ณ กรุงพนมเปญ ทั้งสองฝ่ายได้ข้อสรุปต่อร่างดังกล่าวและปรารถนาที่จะให้มีการลงนามความตกลงฯ ก่อนพิธีส่งมอบรถไฟดีเซลราง ซึ่งสาระสำคัญของความตกลงได้ครอบคลุมทั้งการโดยสารและการขนส่งสินค้าทางรถไฟ  ซึ่งจะส่งผลให้เกิดความเชื่อมโยงด้านรถไฟระหว่างไทย-กัมพูชา ทั้งทางด้านกายภาพ ด้านกฎระเบียบ ตลอดจนความร่วมมือต่างๆ ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นด้วย

2.การส่งมอบรถดีเซลราง จากผลการหารือทวิภาคี ในการประชุมสุดยอดกรอบความร่วมมือเอเชีย (Asia Cooperation Dialogue: ACD Summit) ครั้งที่ 2 ในปี 2559 ระหว่างนายกรัฐมนตรีไทย-กัมพูชา ซึ่งได้ตกลงที่จะส่งเสริมการเชื่อมโยงเส้นทางรถไฟไทย-กัมพูชา พร้อมสนับสนุนตู้โดยสารรถไฟให้กับประเทศกัมพูชา เพื่อสร้างสัมพันธ์อันดีระหว่างกัน สำหรับรถไฟที่การรถไฟฯ จะส่งมอบให้ประเทศกัมพูชา เป็นรถดีเซลราง หรือ Diesel Multiple Unit (DMU) ผลิตโดย บริษัท ฮิตาชิ จำกัด ประเทศญี่ปุ่น เป็นรถกำลังดีเซลรางมีห้องขับ (กซข.) หมายเลข 1035 และ 1038 และรถพ่วงดีเซลรางมีห้องขับ (พซข.) หมายเลข 40 และ 45  เข้าประจำการที่การรถไฟฯ ในปี 2513-2514 และมีการปรับปรุงในปี 2534-2537 โดยทำการปรับเปลี่ยนเครื่องยนต์และเครื่องถ่ายทอดกำลัง รวมถึงการปรับปรุงระบบเครื่องทำลมอัด ทำให้มีประสิทธิภาพในการเดินขบวนรถได้ดียิ่งขึ้น และมีการปรับปรุงครั้งล่าสุด เมื่อปลายปี 2559 ปัจจุบัน การรถไฟฯ ได้ดำเนินการปรับปรุงรถดีเซลราง จำนวน 4 คัน ให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน

นอกจากนี้ การรถไฟฯ ได้ทำการฝึกอบรมการขับรถและซ่อมบำรุงรถให้แก่เจ้าหน้าที่ฝ่ายกัมพูชา โดยแบ่งออกเป็น 2 ช่วง ช่วงที่ 1 การฝึกขับรถและตรวจเช็คเบื้องต้น ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 20 – 26 พฤศจิกายน 2560 ณ โรงรถพ่วงแก่งคอย จังหวัดสระบุรี และช่วงที่ 2 จะจัดขึ้นภายหลังจากที่มีการส่งมอบรถแล้วที่ประเทศกัมพูชา มีเนื้อหาเกี่ยวกับการซ่อมบำรุงรถ และการอบรมเทคนิคการขับเคลื่อน ระยะเวลา 15 วัน และในพิธีส่งมอบวันนี้เจ้าหน้าทีฝ่ายกัมพูชาที่ได้รับการอบรมจะเป็นผู้ขับรถไฟขบวนดังกล่าว

3.สถานีด่านพรมแดนบ้านคลองลึก

สืบเนื่องจากความสำเร็จในการก่อสร้างสะพานรถไฟมิตรภาพ ระหว่างไทย-กัมพูชา ในปี 2559 โดยการสนับสนุนงบประมาณจากรัฐบาลไทย การรถไฟแห่งประเทศไทยได้รับการอนุมัติงบประมาณในการก่อสร้างสถานีชั่วคราว สถานีด่านพรมแดนบ้านคลองลึก เป็นสถานีสุดท้ายของทางรถไฟสายตะวันออก (อรัญประเทศ) ตั้งอยู่บริเวณบ้านคลองลึก อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว ห่างจากสะพานรถไฟ

มิตรภาพฯ ประมาณ 200 เมตร มีพื้นที่โดยประมาณ 13,000 ตารางเมตร ประกอบด้วย อาคารสถานี เส้นทางรถไฟทางหลักและทางหลีก ปัจจุบันอยู่ระหว่างการดำเนินงานจัดซื้อครุภัณฑ์พร้อมติดตั้ง ภายในอาคารสถานีแบ่งออกเป็น 6 ห้อง ประกอบด้วย ห้องหน่วยงานความมั่นคง ห้องตรวจปล่อย/ด่านศุลกากร ห้องตรวจคนเข้าเมือง ห้องด่านตรวจพืช ห้องด่านตรวจสัตว์น้ำ และห้องงานสถานีรถไฟ

ทั้งนี้ จากความร่วมมือกันของทั้งสองประเทศ จะส่งเสริมให้การเดินรถไฟสายตะวันออก (อรัญประเทศ) มีความสะดวกสบายมากขึ้น สนับสนุนการค้าชายแดนระหว่างไทยและกัมพูชา ทั้งยังเป็นส่วนสำคัญที่เชื่อมโยงโครงข่ายทางรถไฟตามแนวระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก – ตะวันตก East – West Corridor ส่งเสริมการพัฒนาด้านเศรษฐกิจของอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ที่สำคัญ ยังเป็นการแสดงถึงความร่วมมืออันเกิดจากมิตรภาพของรัฐบาลไทยและรัฐบาลกัมพูชา ที่ต้องการสร้างความสุข ยกระดับคุณภาพชีวิตและความกินดีอยู่ดีให้กับประชาชนทั้ง 2 ประเทศ สร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจให้กับประเทศ เพิ่มศักยภาพของภูมิภาคอาเซียนให้สามารถแข่งขันบนเวทีโลกได้อย่างเต็มภาคภูมิ

**ฉลองความสำเร็จสะพานมิตรภาพไทย-กัมพูชา***

นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีทั้ง 2 ประเทศ ได้กล่าวแสดงความยินดีกับความสำเร็จในการก่อสร้างสะพานมิตรภาพไทย – กัมพูชา (บ้านหนองเอี่ยน – สตึงบท) เชื่อมต่ออำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว กับเมืองปอยเปต ราชอาณาจักรกัมพูชา ส่งเสริมความเชื่อมโยงระหว่างประเทศอย่างไร้รอยต่อ สนับสนุนโครงข่ายทางหลวงภายใต้กรอบความร่วมมือระเบียงเศรษฐกิจด้านใต้ กรอบความร่วมมืออนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ทางหลวงอาเซียน ส่งเสริมการขนส่งสินค้าจากราชอาณาจักรกัมพูชาสู่เขตเศรษฐกิจพิเศษสระแก้ว และระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก จากนั้นได้ร่วมกันเทคอนกรีตเชื่อมพื้นสะพานมิตรภาพฯ เพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งความสัมพันธ์อันดีระหว่างไทย และกัมพูชา พร้อมกดปุ่มเปิดผ้าแพรคลุมป้ายชื่อสะพาน บริเวณกึ่งกลางสะพาน และพบปะประชาชนที่มาร่วมพิธีฯ

สำหรับโครงการก่อสร้างสะพานมิตรภาพฯ กระทรวงคมนาคม โดยกรมทางหลวงได้รับอนุมัติงบประมาณปี พ.ศ.2560 ให้ก่อสร้างสะพานวงเงินประมาณ 860 ล้านบาท ความยาวสะพาน 620 เมตร (ฝั่งไทย405 เมตร ฝั่งกัมพูชา 215 เมตร) 2 ช่องจราจร ข้ามคลองพรมโหดที่บ้านหนองเอี่ยน ตำบลท่าข้าม อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว พร้อมจุดสลับทิศทางการจราจรและถนนเชื่อมต่อในฝั่งไทย ระยะทาง 4 กิโลเมตร เป็นถนนขนาด 4 ช่องจราจร เริ่มต้นตั้งแต่จุดตัดทางหลวงหมายเลข 3366 ระยะทางรวม 4.7 กิโลเมตร ดำเนินการก่อสร้างโดยกรมการทหารช่าง กองทัพบก ส่วนงานก่อสร้างอาคารด่านพรมแดนทั้งสองฝั่งอยู่ระหว่างเตรียมการก่อสร้าง คาดว่าองค์ประกอบโครงการทั้งหมดจะสมบูรณ์เปิดให้บริการประชาชนได้ในปี พ.ศ.2565 ภายใต้แนวคิดร่วมกันของทั้งสองประเทศให้เปิดจุดผ่านแดนถาวรแห่งใหม่ เพื่อ “แยกคนและสินค้า” ออกจากกัน ในอนาคตการขนส่งสินค้าระหว่างสองประเทศ ด้วยรถบรรทุกหรือรถขนาดใหญ่จะผ่านสะพานมิตรภาพฯ แห่งนี้ ส่วนที่บริเวณจุดผ่านแดนบ้านคลองลึก อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว ซึ่งตรงกับจุดผ่านแดนปอยเปต อำเภอโอโจรว จังหวัดบันเตียเมียนเจย ในฝั่งกัมพูชา จะเน้นการพัฒนาเพื่อรองรับการเดินทาง การติดต่อค้าขายระหว่างกันของประชาชนและการเดินทางของนักท่องเที่ยว สามารถบรรเทาปัญหาการจราจรติดขัดและความแออัดของจุดผ่านแดนบ้านคลองลึกได้เป็นอย่างดี