ว้าว! จท.เปิดกล่องของขวัญปีใหม่ 2566 เตรียมเปิดใช้ 3 ท่าเรือ ‘ราชินี-พายัพ-บางโพ’ ปลายปีนี้ แลนด์มาร์คใหม่ริมเจ้าพระยา

กรมเจ้าท่าเนรมิต 3 ท่าเรือท่าเรือราชินีพายัพบางโพสู่ท่าเรือแห่งความสุขเตรียมเปิดใช้ภายในปลายปีนี้มอบเป็นของขวัญปีใหม่ 2566 ให้ประชาชน แลนด์มาร์คใหม่ริมเจ้าพระยา ยกระดับขนส่งทางน้ำ เชื่อมการเดินทางล้อรางเรือ

นายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์ รักษาการอธิบดีกรมเจ้าท่า (จท.) เปิดเผยความคืบหน้าการพัฒนาท่าเรือในแม่น้ำเจ้าพระยาว่า จท.ได้พัฒนาท่าเรือราชินี ท่าเรือพายัพ และท่าเรือบางโพ ซึ่งทั้ง 3 ท่าเรือ จะสามารถเชื่อมต่อกับระบบขนส่งสาธารณะอื่น เพื่อสร้างทางเลือกในการเดินทาง ยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนดียิ่งขึ้น

ทั้งนี้ รัฐบาล และกระทรวงคมนารมมีนโยบายในการพัฒนาโครงข่ายคมนาคมทั้งทางบก น้ำ ราง อากาศ ให้มีความเชื่อมโยง สะดวก ปลอดภัย สร้างความสามารถในการแข่งขันให้แก่ประเทศ โดยมอบหมายให้กรมเจ้าท่า ที่มีภารกิจในการพัฒนาการคมนาคมขนส่งทางน้ำให้เกิดความปลอดภัย สะดวก สบาย เชื่อมโยงกับระบบขนส่งอื่น

โดยกำหนดแผนพัฒนายกระดับท่าเรือโดยสารอัจฉริยะ (Smart Pier) ในแม่น้ำเจ้าพระยา .. 2562 – 2567 ให้เป็นสถานีเรือ จำนวน 29 ท่าเรือ ให้มีรูปลักษณ์ที่สวยงามเกิดเป็นจุดหมายตา (Landmark) ส่งเสริมการท่องเที่ยวทางน้ำ สร้างสิ่งอำนวยความสะดวก (อารยสถาปัตย์) สำหรับผู้สูงอายุ และผู้พิการ

สำหรับในปลายปี 2565 นี้ จะปรับปรุงและพัฒนาแล้วเสร็จอีก จำนวน 3 ท่าเรือ พร้อมมอบเป็นท่าเรือแห่งความสุข : HAPPY PIER ” เพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ให้กับประชาชนในปี 2566 นี้ ดังนี้

ท่าเรือราชินี เป็นหนึ่งในท่าเรือที่ได้รับการยกระดับให้เป็นท่าเรืออัจฉริยะ หรือ Smart Pier ในจุดเชื่อมต่อการเดินทางเข้าสู่เมืองและแหล่งท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์รอบเกาะรัตนโกสินทร์ อีกทั้งเป็นจุดเชื่อมต่อระบบการขนส่งเรือรางล้อ ที่สมบูรณ์แบบ เชื่อมต่อระหว่างเรือโดยสาร รถโดยสารประจำทาง และ รถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน (สถานีสนามไชย)

โดยการปรับปรุงพัฒนาท่าเรือราชินี ดำเนินการพัฒนาปรับปรุงก่อสร้าง ได้แก่ ก่อสร้างอาคารพักผู้โดยสาร 2 ชั้นพื้นที่ 1,277 ตารางเมตร พร้อมพื้นที่ดาดฟ้าหลังคา ให้เป็นลานกิจกรรมใช้ประโยชน์เป็นจุดชมวิวริมแม่น้ำเจ้าพระยาพร้อมตกแต่งภายในบริเวณอาคารพักคอยเน้นความเป็นไทย มีระบบควบคุมและการให้บริการที่ทันสมัย

อีกทั้ง ก่อสร้างทางเดินเชื่อมท่าเรือกับพื้นที่บนฝั่งจุดเชื่อมต่อทางขึ้นสถานีรถไฟฟ้าสนามไชย พร้อมซุ้มประตูทางเข้าท่าเรือให้มีความเป็นเอกลักษณ์ และก่อสร้างโป๊ะเทียบเรือ ขนาด 9×24 เมตร พร้อมสะพานปรับระดับขึ้นลงโป๊ะเทียบเรือ จำนวน 1 โป๊ะ

ท่าเรือพายัพ ได้ยกระดับให้เป็นท่าเรืออัจฉริยะ หรือ Smart Pier ที่มีมาตรฐานและความปลอดภัย แต่ยังปรับปรุงทัศนียภาพบริเวณทางเข้าท่าเรือ และติดตั้งระบบต่าง อันเป็นประโยชน์ต่อผู้โดยสารทุกคน สำหรับการปรับปรุงพัฒนาท่าเรือพายัพ ได้ดำเนินการพัฒนาปรับปรุงก่อสร้าง ได้แก่ ก่อสร้างอาคารพักผู้โดยสาร 1 ชั้น พื้นที่ประมาณ 270 ตารางเมตรโดยปรับปรุงโครงสร้างท่าเรือพายัพ ให้มีความเหมาะสม สามารถใช้งานได้อย่างปลอดภัย รูปแบบสอดคล้องกลมกลืนกับพระราชวังพายัพ

รูปแบบสถาปัตยกรรมตะวันตกผสมผสานกับสถาปัตยกรรมวิจิตรศิลป์หรือสถาปัตยกรรมโบซาร์ (Beaux Arts) ใช้ประติมากรรมสมัยใหม่ผสมผสานกับศิลปะนีโอคลาสสิก ภายในออกแบบตกแต่งสถาปัตยกรรมไทยร่วมสมัย และโป๊ะเทียบเรือรูปตัวแอลขนาด 9.4×24 เมตร พร้อมสะพานปรับระดับ จำนวน 1 ชุด

ท่าเรือบางโพ ได้ยกระดับให้เป็นท่าเรืออัจฉริยะหรือ Smart Pier ออกแบบสถาปัตยกรรมแบบร่วมสมัย (โมเดิร์น) ให้มีมาตรฐานและความปลอดภัย พร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกและสามารถเชื่อมโยงกับระบบขนส่งรูปแบบอื่นๆ ได้อย่างไร้รอยต่อ โดยเฉพาะการเดินทางเชื่อมต่อระหว่างเรือโดยสาร รถโดยสารประจำทาง และรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน(สถานีบางโพ)

โดยการปรับปรุงพัฒนาท่าเรือบางโพ ดำเนินการพัฒนาปรับปรุงก่อสร้าง ได้แก่ ก่อสร้างอาคารพักผู้โดยสาร 2  ชั้นพื้นที่ประมาณ 1,407 ตารางเมตร และโป๊ะเทียบเรือรูปตัวแอลขนาด 9.4×24 เมตร พร้อมสะพานปรับระดับ จำนวน 1 ชุด

นายสรพงศ์ กล่าวต่อว่า นับตั้งแต่ปี 2562 เป็นต้นมา จท. มุ่งมั่นดำเนินการก่อสร้างปรับปรุง และพัฒนายกระดับท่าเรือริมแม่น้ำเจ้าพระยาในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล จำนวน 29 แห่ง สู่ท่าเรืออัจฉริยะหรือ Smart Pier ทั้งในส่วนของท่าเรือ ตัวเรือ ตลอดจนพัฒนาระบบการให้บริการรองรับชีวิตวิถีใหม่ (New Normal) พร้อมทั้งรูปลักษณ์ที่สวยงาม ตามหลักอารยสถาปัตย์ มีสิ่งอำนวยความสะดวก เทคโนโลยีที่ทันสมัย

นอกจากนี้ เชื่อมต่อกับระบบขนส่งสาธารณะอื่นอย่างไร้รอยต่อ และสามารถเข้าถึงได้ของคนทั้งมวล และเมื่อดำเนินการแล้วเสร็จทั้ง 3 ท่าเรือ กรมเจ้าท่า พร้อมมอบเป็นของขวัญปีใหม่ 2566 ให้ประชาชน เพื่อสร้างทางเลือก และความสุขในการเดินทาง สมคำที่ว่าท่าเรือแห่งความสุข : HAPPY PIER ” พร้อมเพิ่มคุณภาพชีวิตของประชาชนได้อย่างยั่งยืน