อย่าหาทำ! ‘สหภาพฯ ขสมก.’ ค้านใช้ ‘รถเมล์’ ขวางม็อบ พร้อมเผย 3 ครั้ง 121 คัน สูญรายได้ 3.63 แสน เล็งฟ้อง ‘ศาลปกครองกลาง’ ห้าม ตร.นำรถเมล์ไปใช้อีก

“สหภาพฯ ขสมก.” แสดงจุดยืนค้านนำ “รถเมล์” ขวางม็อบ ระบุนำไปใช้แล้ว 3 ครั้ง 121 คัน ทำรถเมล์พัง 6 คัน ร้องตำรวจชดใช้ค่าเสียหาย พร้อมลั่นใช้รถเมล์ขวางม็อบสูญรายได้ 3.63 แสน เล็งฟ้อง “ศาลปกครองกลาง” ขอคุ้มครองห้ามนำรถเมล์ไปขวางม็อบ หวั่นทรัพย์สิน ขสมก. เสียหาย

นายบุญมา ป๋งมา ประธานสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (สร.ขสมก.) เปิดเผยว่า สร.ขสมก.ไม่เห็นด้วยกับการนำรถโดยสารประจำทาง (รถเมล์) ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ไปปิดถนน เพื่อขวางทางไม่ให้ผู้ชุมนุมเคลื่อนขบวนไปทำเนียบรัฐบาล หรือสถานที่ต่างๆ ตามที่กลุ่มผู้ชุมนุมประกาศตามสถานการณ์ในแต่ละครั้ง ซึ่งขอคัดค้านการกระทำดังกล่าว เนื่องจากทำให้ประชาชนหลงเชื่อ หรือเข้าใจผิดว่า ขสมก. ร่วมกับฝ่ายการเมือง วางตัวไม่เป็นกลาง ทำให้เสียภาพลักษณ์ตามมา

ทั้งนี้ สภาพแรงงาน ขสมก. ไม่เห็นด้วยกับการกระทำดังกล่าวในทุกครั้งที่ผ่านมา และได้ทำหนังสือถึงนายสุรชัย เอี่ยมวชิรสกุล ผู้อำนวยการ ขสมก. และนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมแล้ว ถึงเจตนาการไม่เห็นด้วย เนื่องจาก ขสมก. เป็นรัฐวิสาหกิจ ภายใต้สังกัดกระทรวงคมนาคม มีวัตถุประสงค์ในการรับขนคนโดยสารในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล และจะทำให้ประชาชนหลงเชื่อหรือเข้าใจผิดว่า ขสมก. เข้าร่วมกับฝ่ายการเมือง วางตัวไม่เป็นกลาง ทำให้เสียภาพลักษณ์ผิดวัตถุประสงค์ในการจัดตั้ง โดยที่ผ่านมาตำรวจได้ขอสนับสนุนการนำรถเมล์ไปสกัดผู้ชุมนุมทั้งหมด 3 ครั้งรวม 121 คัน แบ่งเป็น วันที่ 14 ต.ค. 2563 จำนวน 22 คัน, วันที่ 25 ต.ค. 2563 จำนวน 44 คัน และวันที่ 8 พ.ย. 2563 จำนวน 55 คัน

โดยจากทั้ง 3 ครั้งข้างต้น ส่งผลให้รถเมล์ได้รับความเสียหายทั้งหมด 6 คัน แบ่งเป็น วันที่ 14 ต.ค. 2563 จำนวน 1 คัน, วันที่ 25 ต.ค. 2563 จำนวน 2 คัน และวันที่ 8 พ.ย. 2563 จำนวน 3 คัน ทั้งกระจกบังลมหน้าแตกเสียหาย สีถลอก และที่ปัดน้ำฝนชำรุด ส่งผลทำให้เกิดค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมรถที่ได้รับความเสียหายจำนวนมาก เพราะรถเมล์มีอายุใช้งานมากกว่า 30 ปี อะไหล่นำมาซ่อมเริ่มหายากและใช้เวลาในการนำเข้าจากต่างประเทศ

นายบุญมา กล่าวต่ออีกว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างประเมินความเสียหาย เพราะปัจจุบัน ขสมก. ต้องจ่ายค่าเหมาซ่อมราคา 1,401 บาทต่อคันต่อวัน ค่า GPS 30 บาทต่อคันต่อวัน ค่าการบริการเดินรถด้านสังคม (PSO) ที่รัฐบาลสนับสนุนในการเดินรถกิโลเมตร (กม.) ละ 38 บาทต่อคัน ค่าจ้างพนักงาน 800 บาทต่อวัน รวมทั้งค่าเสียหายที่จะได้จากค่าโฆษณา

นอกจากนี้ ช่วงที่นำรถเมล์มาสกัดผู้ชุมนุมยังพบว่า ขสมก. เสียโอกาสในการเดินรถ ทำให้สูญเสียรายได้รวม 363,000 บาท คือวันที่ 14 ต.ค. 2563 รถ 22 คัน มีรายได้ 66,000 บาท หรือเฉลี่ยคันละ 3,000 บาท, วันที่ 25 ต.ค. 2563 รถ 44 คัน มีรายได้ 132,000 บาท และวันที่ 8 พ.ย. 2563 รถ 55 คัน มีรายได้ 165,000 บาท

“กรณีที่รถเมล์ได้รับความเสียหายจากการนำไปสกัดผู้ชุมนุมนั้น ยืนยันว่าตำรวจจะต้องเป็นผู้ที่จ่ายค้าซ่อมรถเมล์ที่ได้รับความเสียหาย ไม่ใช่ว่าถ้าต้องการให้ซ่อม ขสมก. ต้องไปฟ้องผู้ชุมนุมเรียกค่าเสียหายเอง โดยมองว่าตำรวจเป็นผู้ขอความร่วมมือให้สนับสนุนรถเมล์ทั้งหมด และหนังสือที่ขอความร่วมมือตำรวจจะต้องดูแลทรัพย์สินของ ขสมก. เพราะฉะนั้นตำรวจจะเป็นต้องเป็นผู้จ่ายค่าเสียหาย” นายบุญมา กล่าว

นายบุญมา กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ จะนำรายละเอียดเรื่องค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่ได้รับความเสียหายทั้งหมดเสนอต่อคณะกรรมการบริหารกิจการ (บอร์ด) ขสมก. เพื่อให้ดำเนินการเรียกร้องค่าเสียหายจากคู่กรณีโดยเร็วที่สุด เนื่องจากการเรียกร้องค่าเสียหายที่เกิดขึ้นจะต้องเป็น ขสมก. เป็นผู้ดำเนินการเท่านั้น แต่หากบอร์ด ขสมก. ไม่ดำเนินการ หรือเพิกเฉยต่อการปฏิบัติหน้าที่ จะเดินหน้าฟ้องร้องต่อศาลปกครองให้เอาผิดกับบอร์ด ขสมก.ทั้งหมดด้วย

“ถ้าอนาคตตำรวจขอความร่วมมือจาก ขสมก. สนับสนุนรถเมล์เพื่อไปสกัดผู้ชุมนุมอีก จะเดินหน้าไปยื่นศาลปกครองกลาง เพื่อขอให้คุ้มครองไม่ให้นำรถเมล์ไปใช้ในกรณีดังกล่าวอีก ขณะนี้กำลังพิจารณา รวบรวมข้อมูลว่าสามารถกระทำได้ตามข้อกฎหมายอย่างไรบ้าง และยืนยันว่า ขสมก. มีความเป็นกลางไม่เข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง และเมื่อเกิดกรณีแบบนี้สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ ความปลอดภัยของพนักงาน ขสมก. ที่ปัจจุบัน ขสมก. จะมีความถนัดเรื่องการให้บริการ แต่ไม่มีความรู้เรื่องการป้องกันตนเองหรือวิธีการรับมือเมื่อตกอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องเผชิญหน้ากับผู้ชุมนุม ทำให้มีความเสี่ยงมาก” นายบุญมา กล่าว