รถไฟทางคู่ “นครปฐม-ชุมพร” 421 กม. คืบหน้า 67.5% ช้ากว่าแผน 7.89% เหตุปรับแบบ-ปัญหาผู้บุกรุก คาดเปิดใช้ปี 65
รฟท. เผยรถไฟทางคู่ “นครปฐม–ชุมพร” 421 กม. คืบหน้า 67.5% ช้ากว่าแผน 7.89% เหตุปรับแบบ–ปัญหาผู้บุกรุก คาดเปิดใช้ปี 65 ด้าน “นิรุฒ” ผู้ว่า รฟท. วางหมาก 3 กลุยุทธ์ ปรับกระบวนการทำงาน–บริหารบุคลากร–เร่งขยายตลาดขนส่งสินค้า ประเดิมขนส่งเกลือ ตั้งเป้าปีแรก 4 แสนตัน พร้อมลุยของบ 500 ล้าน สร้างแอปฯเอาใจผู้โดยสาร
นายนิรุฒ มณีพันธ์ ผู้ว่าการการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เปิดเผยถึงความคืบหน้าโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่เส้นทางภาคใต้ ช่วงนครปฐม–ชุมพร ระยะทาง 421 กิโลเมตร (กม.) มูลค่างานก่อสร้างรวม 33,982 ล้านบาทว่า โครงการรถไฟทางคู่เส้นทางนครปฐม–ชุมพรนั้น ภาพรวมของโครงการมีความคืบหน้าประมาณ67.5% ซึ่งล่าช้ากว่าแผนที่กำหนดประมาณ 7.89% จากหลากหลายปัจจัย เช่น การปรับแบบการก่อสร้าง ปัญหาผู้บุกรุกที่ดิน เป็นต้น
สำหรับ โครงการดังกล่าว แบ่งออกเป็น 5 สัญญา ได้แก่ สัญญาที่ 1 นครปฐม–หนองปลาไหล มูลค่างาน 8,198 ล้านบาท ความก้าวหน้างานก่อสร้างคืบหน้า 69% ช้ากว่าแผน 0.44%, สัญญาที่ 2 หนองปลาไหล–หัวหิน มูลค่างาน 7,520 ล้านบาท ความก้าวหน้างานก่อสร้างคืบหน้า 72.65% เร็วกว่าแผน 2.40%, สัญญาที่ 3 หัวหิน–ประจวบคีรีขันธ์ มูลค่างาน 5,807 ล้านบาท คืบหน้า 74.75% เร็วกว่าแผน 0.25%, สัญญาที่ 4 ประจวบคีรีขันธ์–บางสะพานน้อย มูลค่างาน 6,465 ล้านบาท คืบหน้า 66.56% เร็วกว่าแผน 3.81% และสัญญาที่ 5 บางสะพานน้อย–ชุมพร มูลค่างาน 6,992 ล้านบาท คืบหน้า 56.13% ช้ากว่าแผน 17.43% ทั้งนี้ คาดว่าการก่อสร้างจะแล้วเสร็จในช่วงปลายปี 2564 และจะเปิดให้บริการในปี 2565
นายนิรุฒ กล่าวต่ออีกว่า นับตั้งแต่ตนเข้ามาดำรงตำแหน่งผู้ว่า รฟท. ได้ประมาณ 4-5 เดือนนั้น จึงได้กำหนดกลยุทธ์การพัฒนาและแนวทางการดำเนินการ 3 เรื่อง ประกอบด้วย 1.กระบวนการทำงานของ รฟท. ซึ่งจะต้องมีการปรับกระบวนการทำงานและวิธีคิด เพื่อให้สอดคล้องกับบริบทที่เปลี่ยนไป 2.การบริหารจัดการบุคลากร รฟท. ซึ่งหลังจากนี้ รฟท. จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนกระบวนการทำงานใหม่ เนื่องจากในปัจจุบันจำนวนพนักงานลดลงเหลือ 9,000 คนจากเดิม 18,000 คน เมื่อปี 2541 แต่ในขณะที่การเดินรถไฟยังคงเท่าเดิม ซึ่งถือเป็นความเสี่ยง และเป็นโจทย์ที่ผู้บริหาร รฟท.จะต้องมาพิจารณาการวางระบบโครงสร้างองค์กรใหม่ เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ก่อนที่จะเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูองค์กรต่อไป แม้ว่าในอนาคตอาจจะต้องให้เอกชนเข้ามาร่วมเดินรถด้วยก็ตาม
3.การทำการตลาดด้านการขนส่งสินค้ามากขึ้น โดยล่าสุดได้หารือร่วมกับภาคเอกชน ในการขนส่งเกลือ ซึ่งมีปริมาณการขนส่งประมาณ 10 ล้านตันต่อปี โดย รฟท. จะขนส่งสินค้า ในเส้นทางระหว่างนครราชสีมา–นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด ทั้งนี้ ตั้งเป้าหมายการขนส่งในปีแรกประมาณ 4 แสนตัน สอดคล้องกับโครงสร้างพื้นฐานของ รฟท. ที่มีอยู่ในปัจจุบัน รวมถึงโครงการรถไฟทางคู่ด้วย อย่างไรก็ตาม การดำเนินการดังกล่าวนั้น ถือเป็นการเปิดตลาดใหม่ของ รฟท. นอกเหนือจากการขนส่งผู้โดยสาร
“4 เดือนกว่าที่ผ่านมา หลังผมเข้ารับตำแหน่งผู้ว่า รฟท. ได้เห็นภาพชัดเจนมากขึ้น จึงได้วางกลยุทธ์หลายอย่าง เพราะเราจะอยู่แค่นี้ไม่ได้ ต้องดำเนินการให้สอดคล้องกับรางรถไฟที่มีอยู่ ซึ่งหากเปรียบการรถไฟเป็นคน ผมขอเปรียบเป็นนักกีฬา ที่ในอดีตยิ่งใหญ่ ผ่านการแข่งขันในระดับโอลิมปิก แต่ตอนนี้ยอมรับว่าเหมือนนักกีฬาที่ล้มป่วยลง จึงต้องเร่งพัฒนาในหลายด้าน เพราะว่าการซื้อหัวรถจักร เครื่องมือต่างๆ จะใช้เวลานาน นอกจากนี้จะต้องเน้นเรื่องของการท่องเที่ยวด้วยซึ่งจะถือเป็นมิติใหม่ในอนาคตของ รฟท. และเป็นเรื่องที่เราต้องสร้างขึ้น” นายนิรุฒ กล่าว
นายนิรุฒ กล่าวอีกว่า ขณะเดียวกัน รฟท. อยู่ระหว่างการของบประมาณวงเงินมากกว่า 500 ล้านบาท เพื่อดำเนินการจัดทำแอปพลิเคชั่น ซึ่งในขณะนี้ได้ศึกษาแล้วเสร็จเป็นที่เรียบร้อยแล้ว อยู่ระหว่างการออกแบบ โดยแอปฯ ดังกล่าว จะช่วยอำนวยความสะดวกในการเดินทางให้กับผู้ใช้บริการรถไฟไทย ที่จะทราบถึงรายละเอียดต่างๆ เช่น การติดตามขบวนรถแบบเรียลไทม์ การจองตั๋ว การดูเส้นทางรถไฟ เป็นต้น ในส่วนของระบบ D-Ticket เพื่อใช้ในการจองและขายตั๋วรถไฟผ่านแอปฯนั้น จะเริ่มทดลองให้ใช้บริการระยะแรกในช่วง ธ.ค.นี้ ก่อนที่จะเปิดใช้งานทั้งระบบเต็มรูปแบบภายใน มี.ค. 2564