กทท. ระดมสมองทุกภาคส่วน แก้จราจร ทลฉ. ดัน Truck Queue 100% ส.ค.นี้ เร่งแก้รถติด-ตู้ค้าง ดันโลจิสติกส์ไทยพุ่ง
กทท. จัดเวิร์กช็อปใหญ่ ร่วมแก้ปัญหา-หาทางออกปัญหารถติด & ตู้สินค้าแออัดในท่าเรือแหลมฉบัง จ่อใช้ Truck Queue 100% ภายใน ส.ค.นี้ เผยปมรถติดหนัก เหตุจากนโยบายภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ดันปริมาณตู้สินค้าผ่านท่าเรือแหลมฉบังเพิ่มกว่า 10% ใน 5 เดือนแรกปี 68 คาดทั้งปี รถบรรทุกพุ่ง 1.5 หมื่นคัน/วัน ระบุแผนระยะยาว เร่งรัดแหลมฉบัง เฟส 3 เปิดบริการปลายปี 70
นายเกรียงไกร ไชยศิริวงศ์สุข ผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) เปิดเผยว่า กทท. ได้เปิดเวทีเวิร์กช็อปใหญ่ระดมสมองผู้ประกอบการขนส่ง – ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ในลักษณะการประชุมเชิงปฏิบัติการ (Workshop) เพราะต้องการเปิดพื้นที่ให้ผู้เกี่ยวข้องได้ร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็น วิเคราะห์ปัญหา และทบทวนมาตรการที่ดำเนินอยู่ในปัจจุบันอย่างเต็มที่ โดยมีเป้าหมายเพื่อนำข้อมูลที่ได้มาปรับปรุงและผลักดันการดำเนินการให้เกิดผลอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ โดยได้เรียนเชิญผู้ให้บริการท่าเทียบเรือ ผู้ประกอบการขนส่ง ผู้ส่งออก–นำเข้า และผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจากภาครัฐและภาคเอกชน ฯลฯ มาร่วมแสดงความคิดเห็นจากปัญหาการจราจรแออัดภายในท่าเรือแหลมฉบัง (ทลฉ.)
ทั้งนี้ สืบเนื่องเกิดจากนโยบายภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ส่งผลให้ปริมาณการขนส่งตู้สินค้าผ่าน ทลฉ. เพิ่มขึ้นกว่า 10% ใน 5 เดือนแรกของปีนี้ การเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วนี้ ทำให้รถบรรทุกหนาแน่นและจราจรติดขัดรุนแรงเกินโครงสร้างพื้นฐานที่ ทลฉ. รองรับได้ในปัจจุบัน รวมทั้งปัญหาเรือดีเลย์และตู้สินค้าคงค้างอีกจำนวนมาก ซึ่งคาดว่าปี 2568 จะมีรถบรรทุกใช้บริการ ทลฉ. กว่า 5.4 ล้านคันต่อปี เฉลี่ย 15,000 คัน/วัน และอาจสูงสุดถึง 20,000 คัน/วัน 820 คัน/ชั่วโมง
นายเกรียงไกร กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมา กทท. ได้วางแนวทางแก้ไขปัญหาและเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานในด้านต่างๆ ได้แก่ ด้านนโยบาย ด้านโครงสร้างพื้นฐาน ด้านกระบวนการทำงานและเทคโนโลยีสารสนเทศ ด้านกฎหมายและด้านอื่นๆ ซึ่งทั้งหมดนี้ได้นำมาสู่มาตรการในระยะต่างๆ ได้แก่ มาตรการเร่งด่วน จัดสรรพื้นที่ 70 ไร่ และ 22 ไร่ เพื่อรองรับรถบรรทุกที่เพิ่มขึ้น เพิ่มพื้นที่ภายในศูนย์การขนส่งตู้สินค้าทางรถไฟเพื่อวางตู้สินค้าขาออก ซึ่งจะสามารถรองรับตู้สินค้าได้เพิ่มอีก 19,410 TEUs นอกจากนี้ยังนำระบบ IT มาใช้ในการบริหารจัดการ เช่น พัฒนา Mobile Application เพื่อบริหารจัดการจราจร และบังคับใช้ระบบ LCP Truck Queue 100% ภายใน ส.ค. 2568
ในด้านการประสานงานจะประสานความร่วมมือกับหน่วยงานภายนอก อาทิ กรมศุลกากรเพื่ออนุญาตให้จัดเก็บตู้สินค้าขาเข้านอกเขตท่าเทียบเรือเป็นการชั่วคราว หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการตรวจปล่อยสินค้าให้พร้อมปฏิบัติงานตลอด 7 วัน 24 ชั่วโมง เร่งเปิดช่องทางเข้า-ออกใหม่ให้เหมาะสมกับสภาพการจราจร เพื่อลดความแออัดในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง สำหรับการอำนวยความสะดวกเพิ่มเติม กทท. ได้จัดห้องสุขาเคลื่อนที่เพิ่มเติมอีก 12 จุด และจัดเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง ขณะเดียวกันได้ดำเนินมาตรการคู่ขนาน โดยเตรียมพื้นที่นอกเขตรั้วศุลกากรกว่า 83 ไร่ สำหรับเป็นจุดพักรถบรรทุก และปรับพื้นที่ว่างในศูนย์การขนส่งตู้สินค้าทางรถไฟใช้เป็นพื้นที่สำรองจอดรถบรรทุก
นายเกรียงไกร กล่าวอีกว่า สำหรับมาตรการระยะยาว กทท. ร่วมกับธนาคารโลก (World Bank) เร่งจัดทำ Master Plan ด้านโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อบริหารจัดการพื้นที่ให้สอดคล้องกับปริมาณตู้สินค้าที่เพิ่มขึ้น รวมถึงเร่งรัดโครงการพัฒนาท่าเทียบเรือแหลมฉบังระยะที่ 3 ให้สามารถเปิดให้บริการได้ภายในปลายปี 2570 ควบคู่ไปกับการปรับโครงสร้างค่าภาระ เพื่อบริหารจัดการตู้สินค้าคงค้างได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ทั้งนี้ ผลจากการประชุมฯ มีมติให้เร่งขับเคลื่อน 3 ประเด็นหลักโดยทันที ได้แก่ การผลักดันระบบ LCP Truck Queue 100% ให้สามารถใช้งานได้ตามกำหนด รวมถึงบำรุงรักษาความลึกร่องน้ำให้ได้ระดับความลึกตามที่กำหนดในแต่ละ Basin เพื่อสนับสนุนห่วงโซ่โลจิสติกส์การนำเข้าส่งออก และการเร่งจัดหาพื้นที่วางตู้สินค้าชั่วคราวเพื่อบรรเทาสถานการณ์ในระยะนี้โดยเร็วที่สุด อย่างไรก็ตาม กทท. หวังว่าความร่วมมือจากทุกภาคส่วนจะเป็นกลไกสำคัญในการแก้ไขปัญหาจราจรและการบริหารตู้สินค้าอย่างเป็นระบบ ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนด้านเวลา เพิ่มความคล่องตัวในการขนส่งให้กับผู้ประกอบการทุกฝ่าย อันจะเป็นประโยชน์ต่อการเติบโตของเศรษฐกิจในพื้นที่และประเทศโดยรวม