ภารกิจ 4 รัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ “จุรินทร์” เดินหน้ายกระดับรายได้เกษตรกรเล็งฟื้นตลาดคู่ค้าเก่ากู้ส่งออกไทย ฝากเอกชนเดินทัพหาตลาดใหม่ ด้าน “สุริยะ” เร่งอัพเกรด SMEs-Startup ให้แข็งแกร่งบนอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ ฟาก “ก.การคลัง” แจงอนาคตไทยกับรัฐบาลใหม่ เน้นกลยุทธ์หลัก 4 ด้าน ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ขณะที่ “ศักดิ์สยาม” รุกหนักตามแผนยุทธศาสตร์ระยะ 20 ปี
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ถึงแม้จะเป็นการบริหารงานภายใต้รัฐบาลผสม แต่ยืนยันว่าหากสามารถสร้างผลงานและทำงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริตได้ มีผลงานที่เป็นรูปธรรมสร้างประโยชน์ให้กับประเทศได้จริงๆ ถึงแม้จะมีเสียงปริ่มน้ำหรือเป็นรัฐบาลผสมก็ไม่น่าจะสร้างปัญหาใดขึ้น โดยเศรษฐกิจฯ ในขณะนี้เกิดวิกฤติขึ้น เนื่องจากต้องเผชิญหน้ากับวิกฤตการณ์สงครามการค้าสหรัฐกับจีน (Trade War) ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญที่กระทบกับเศรษฐกิจทั่วโลก นอกจากสงครามการค้าที่สร้างผลกระทบให้กับประเทศไทยแล้ว ยังต้องเจอกับเรื่องค่าเงินบาทที่แข็งค่ามาก รวมถึงมีคู่แข่งในตลาดโลกมากขึ้น ทำให้ต้องมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาเพื่อสร้างการหมุนเวียนของเม็ดเงินภายในประเทศ โดยมีเม็ดเงินประมาณ 3.1 แสนล้านบาท ที่เน้นเป้าหมายสำคัญ คือหาวิธีในการทำให้เศรษฐกิจโตและสามารถช่วยแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจฐานรากให้เดินหน้าต่อไป
“การขับเคลื่อนให้เศรษฐกิจไทยในปีนี้โตได้ถึง 3% มีการตั้งโจทย์ที่จะต้องทำทั้งหมด 7 มาตรการ คือ 1. จะต้องเร่งรัดการใช้จ่ายภาครัฐ 2. มีมาตรการเข้าไปช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยให้มีการยังชีพได้ 3.ยกระดับรายได้เกษตรกร เพิ่มราคาสินค้าเกษตรให้สูงขึ้น เพื่อให้เม็ดเงินลงสู่เกษตรกรอย่างแท้จริง เพราะเป็นหัวใจสำคัญของเศรษฐกิจฐานราก 4.ช่วยผู้ประกอบการขนาดเล็กและกลาง (SMEs) เพราะเป็นเศรษฐกิจฐานรากที่มีบทบาทสำคัญที่จะขับเคลื่อนประเทศได้ 5.ขับเคลื่อนภาคการส่งออก 6.กระตุ้นภาคการท่องเที่ยว 7.เร่งให้เกิดการลงทุนของภาคเอกชน โดยมี 2 เรื่องหลักที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงพาณิชย์คือ การยกระดับรายได้ของเกษตรกร ซึ่งทำแล้วในส่วนของโยบายการประกันรายได้เกษตรกรในพืชเกษตร 5 ตัวคือ ข้าว มันสำปะหลัง ยางพารา ปาล์มน้ำมัน และข้าวโพด แต่ไม่ได้หมายความว่านอกเหนือจาก 5 ตัวนี้จะไม่ดู แต่จะดูแลต่อไปหากเกิดราคาตกลง อีกเรื่องที่เกี่ยวข้องคือ ภาคการส่งออก” นายจุรินทร์ กล่าว
นายจุรินทร์ กล่าวต่ออีกว่า ส่วนในเรื่องของภาคการส่งออก ทิศทางของกระทรวงพาณิชย์ต่อจากนี้ จะไม่ใช่กระทรวงเป็นพระเอกในการทำงานอีกต่อไป แต่ต้องเป็นภาคเอกชนที่จะเป็นทัพหน้าในการหาตลาดใหม่ๆ เพิ่มขึ้น ส่วนภาครัฐจะทำหน้าที่เป็นกองหลังในการช่วยแก้ไขปัญหาที่เป็นอุปสรรคให้กับภาคเอกชน รวมถึงมีมาตรการที่จะฟื้นตลาดเก่าที่เคยมีอยู่แล้วแต่สูญเสียไป
อุตฯ ยกระดับ SMEs-Startup
ด้านนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า การขับเคลื่อนภาคอุตสาหกรรม จะสานต่อนโยบายอุตสาหกรรม 4.0 ที่เน้นสร้างคุณค่าด้วยปัญญา ปรับเปลี่ยน นวัตกรรมการผลิต เพิ่มมูลค่า ยกระดับศักยภาพการผลิต ควบคู่การกระจายรายได้ไปสู่เศรษฐกิจฐานราก รวมถึงเป็นมิตรสิ่งแวดล้อม โดยจะต้องประสานความร่วมมือเอกชน สถาบันการศึก โดยกระทรวงอุตสาหกรรมมี 5 เครื่องยนต์ ที่จะขับเคลื่อน ประกอบไปด้วย ผลักดันให้เกิดอุตสาหกรรมใหม่ในประเทศ โดยต่อยอดนโยบายที่ดำเนินการไปแล้ว เช่น ยานยนต์ไฟฟ้า ที่มีค่ายรถยนต์ได้รับการสนับสนุนเงินลงทุนกว่า 53,000 ล้านบาท รวมถึงอุตสาหกรรมหุ่นยนต์ นอกจากนี้ จะเดินหน้ายกระดับ SMEs และสตาร์ทอัพ มีนโยบายมุ่งพัฒนาอย่างรอบด้าน การสร้างต้นแบบ SMEs ที่ประสบความสำเร็จ เพื่อให้มีผลิตภัณฑ์สอดคล้องกับตลาด นอกจากนี้ ยังให้ความสำคัญยกระดับผู้ประกอบการเข้าสู่ยุควิถีไทย สร้างความเข้มแข็งเศรษฐกิจฐานราก ขยายการดำเนินการหมู่บ้านอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ สนับสนุนผู้ประกอบการด้านต่างๆ ผ่านศูนย์ปฏิรูปอุตสาหกรรม รวมถึงยังมีเรื่องเงินทุน ให้มี Package ช่วยผู้ประกอบการ โดยเฉพาะผู้ประกอบการ Size S ให้เข้าถึงเงินทุนได้ง่าย ให้พิจารณาจากความเป็นไปได้ โดยไม่ต้องขอหลักทรัพย์ค้ำประกัน โดยจัดสรรกองทุน 10,000 ล้านบาท โดยมีหลักเกณฑ์ช่วย
ผู้ประกอบการกู้ได้ไม่เกิน 1 ล้านบาท ไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน ดอกเบี้ย 1% อายุ 7 ปี  “ถึงเวลาแล้วที่ภาคอุตสาหกรรมจะต้องขับเคลื่อนในทุกมิติ รัฐบาลจะต้องเร่งทำทุกวิธีและมาตรการใหม่ๆ เพราะประเทศไทยเปรียบเสมือนรถยนต์ กำลังวิ่งผ่านถนนขรุขละ เครื่องยนต์ก็มีเสื่อม เจอปัจัยยภาคนอกเปรียบพายุฝนมากระทบ รถยนต์ก็ต้องชะลอลง”
“กระทรวงคลัง” ยึดหลัก 4 ด้าน
ขณะที่ นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่ากระทรวงการคลัง กล่าวว่า สิ่งที่นักลงทุนและนักธุรกิจต่างชาติมักสอบถามตนเสมอหลังการจัดตั้งรัฐบาล คือ รัฐบาลชุดนี้เป็นรัฐบาลผสม จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้หรือไม่ และไปในทิศทางใด ซึ่งตนได้ยืนยันว่า รัฐบาลผสมสามารถทำงานตามนโยบายที่ประกาศได้ รัฐบาลได้หลอมรวมนโยบายของพรรคร่วมมาเป็นนโยบายรัฐบาล ดังนั้น ขอให้สบายใจว่าประเทศ ไทยจะเดินหน้าเต็มสูบ
ทั้งนี้ ในส่วนของยุทธศาสตร์เศรษฐกิจไทยภายใต้รัฐบาลใหม่นั้น มาตรการที่ออกมา จึงยึดหลัก 4 ด้าน ได้แก่ ชัดเจน ตรงจุด รวดเร็ว และโปร่งใส ดังนั้น ในฐานะกระทรวงการคลังที่เป็นผู้จัดสรรงบประมาณ ก็จะดูแลการจัดสรรงบประมาณให้เหมาะสม ปัญหาเฉพาะหน้าที่ต้องใช้ ก็ต้องใช้ เช่น มาตรการแก้ปัญหาภัยแล้งที่จะทำต่างหากจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่เป็นมติ ครม. เมื่อ 20 ส.ค. ที่ผ่านมา หรือการจัดทำงบประมาณ ประจำปี 2563 ที่ทำเวลานี้ ก็จะต้องมองไปถึงงบประมาณ ประจำปี 2564 ซึ่งเป็นจะงานระยะกลาง ที่ทำงบประมาณเพื่อการปรับเปลี่ยนประเทศ ต้องมีคิดถึงการลงทุนด้านดิจิทัล ที่อนาคตจะเป็นแกนสำคัญสำหรับเศรษฐกิจอุตสาหกรรมและการบริการ สิ่งเหล่านี้ รัฐบาลต้องลงทุนในระยะยาว
“คมนาคม” ลุยยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี
นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า กระทรวงคมนาคมมีภารกิจในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี  โดยจะต้องมีการจัดสรรงบประมาณการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน ทั้งทางบก ทางน้ำทางอากาศ และทางราง ประมาณ 1.9 ล้านล้านบาท ซึ่งทาง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้มีการกำชับให้การดำเนินโครงการแต่ละโครงการต้องเป็นไปตามแผนงานในส่วนของความคืบหน้าโครงการต่างๆ นั้นอาทิ โครงการท่าเรือแหลมฉบังระยะที่ 3 ขณะนี้ ยังต้องรอคำสั่งศาล ส่วนโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน (ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา) ก็มีแผนที่จะลงนามในสัญญาให้ได้ภายในเดือน ก.ย. นี้
ทั้งนี้ ได้มีการวางแนวทางการบริหารงานในสังกัดกระทรวงคมนาคมได้แก่ การสร้างความสะดวกสบายให้กับประชาชน การลดค่าใช้จ่ายให้ประชาชนลดภาระงบประมาณแผ่นดิน, แก้ปัญหาปากท้องของประชาชน และภาคทุกโครงการของกระทรวงคมนาคมต้องโปร่งใสและตรวจสอบได้ ส่วนการแก้ไขปัญหาจราจรและปัญหาฝุ่น PM 2.5 ที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพของประชาชน
นอกจากนี้ กระทรวงคมนาคมจะดำเนินการทั้งในเรื่องการจำกัดเวลาวิ่งของรถบรรทุกในชั้นเมือง ขยายความเร็วของรถวิ่งได้สูงสูง 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ยกเลิกไม้กั้นทางด่วนที่ซ้ำซ้อน ทำบัตรผ่านทางเป็นแบบตั๋ววัน คาดว่าจะเหลือ 30 บาทต่อวัน รวมถึงยกเลิกเกาะกลางถนน และจัดการรถโดยสารธารณะโดยใช้เทคโนโลยี อย่างไรก็ตามยืนยันว่าปัจจุบันยังไม่มีการขึ้นค่ารถแท็กซี่ มอเตอร์ไซค์รับจ้าง เพียงแต่ขณะนี้มีแอพพลิเคชั่นที่ให้บริการมากมายจึงจะต้องแก้ปัญหาทำอย่างไรให้บริษัทฯ ที่จะให้บริการจดทะเบียนเป็นของไทย