EXIM BANK จัดทัพใหม่ ชูนโยบาย “Export Co-pilot” หนุน SMEs ไทยบุกตลาดโลก ดันภาคส่งออกขยายตัว 0-2% ในปี 69

ภาคการส่งออกของไทยยังเผชิญความท้าทายเชิงโครงสร้าง โดยเฉพาะความไม่สมดุลระหว่างจำนวนผู้ส่งออกกับมูลค่าการส่งออก ปัจจุบันประเทศไทยมีผู้ประกอบการประมาณ 3 ล้านราย แต่เป็นผู้ส่งออกเพียงราว 1% หรือประมาณ 27,000-30,000 ราย ในจำนวนนี้เป็นผู้ประกอบการ SMEs ประมาณ 22,000 ราย และผู้ประกอบการรายใหญ่ราว 6,000 ราย ทั้งที่ SMEs มีสัดส่วนการจ้างงานมากกว่า 70% ของประเทศ แต่กลับมีมูลค่าการส่งออกเพียง 10% ของการส่งออกทั้งหมด ขณะที่ผู้ส่งออกรายใหญ่ซึ่งมีสัดส่วนเพียงราว 20% ครองมูลค่าการส่งออกมากกว่า 90%

นายชลัช รัตนบุญนิธิ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) เปิดเผยว่า ความไม่สมดุลดังกล่าวเป็นความเปราะบางเชิงโครงสร้างของเศรษฐกิจไทยในระยะยาว โดยเมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่ง ไทยยังมีสัดส่วน SMEs ที่ส่งออกต่ำกว่าอย่างมีนัยสำคัญ เช่น เวียดนามมีจำนวน SMEs ส่งออกมากกว่าไทยเกือบ 3 เท่า อินเดียมีสัดส่วนราว 45% และแคนาดาประมาณ 42% สะท้อนว่า การเพิ่มจำนวน SMEs ที่เข้าสู่ตลาดส่งออกเป็นโจทย์สำคัญของประเทศ

นายชลัช กล่าวว่า อุปสรรคหลักของ SMEs ไทย ได้แก่ การพึ่งพาตลาดเดิมเพื่อลดความเสี่ยง โดยกระจุกตัวในตลาดหลักอย่างสหรัฐฯ และจีน ทำให้เผชิญความไม่แน่นอนจากมาตรการทางการค้าและภาษีตอบโต้ ขณะเดียวกัน การลดต้นทุนด้วยวัตถุดิบนำเข้าราคาถูกอาจนำไปสู่ความเสี่ยงด้านถิ่นกำเนิดสินค้า อีกทั้ง SMEs ส่วนใหญ่มีทรัพยากรบุคคลจำกัด ขาดการวิเคราะห์ต้นทุน-กำไรในแต่ละธุรกรรมอย่างละเอียด ส่งผลต่อความสามารถในการแข่งขันระยะยาว

เพื่อตอบโจทย์ดังกล่าว EXIM BANK จึงจัดทัพใหม่ เสริมบทบาท “Export Co-pilot” เป็นคู่คิดและพันธมิตรทางธุรกิจ เคียงข้างผู้ประกอบการไทยในทุกอุตสาหกรรม ทำงานร่วมกับภาครัฐและเครือข่ายพันธมิตร เพื่อช่วยลดต้นทุน เพิ่มโอกาสทางธุรกิจ และขยายตลาดส่งออกสู่อนาคตอย่างยั่งยืน โดยเป้าหมายสำคัญคือการเพิ่มจำนวนผู้ส่งออก SMEs มากกว่าการมุ่งเน้นยอดสินเชื่อคงค้าง พร้อมสนับสนุนการหาผู้ซื้อรายใหม่ (New Buyers) ทั้งในตลาดเดิมและตลาดใหม่ เช่น แอฟริกาและตะวันออกกลาง ควบคู่กับการพิจารณาสินเชื่อบนพื้นฐานคำสั่งซื้อ (Order-based Financing) และการใช้เครื่องมือบริหารความเสี่ยง เช่น ประกันการส่งออก อย่างครบวงจร

ด้านการพัฒนาองค์ความรู้ ศูนย์ความเป็นเลิศด้านการค้า (Export Studio) ของ EXIM BANK ได้ขยายโครงการ “ตีแตกตลาดส่งออก” เพื่อช่วย SMEs ค้นหาโอกาสในตลาดศักยภาพใหม่ ทดแทนตลาดที่มีข้อจำกัด ผ่านการจัดสัมมนาเชิงลึกด้านการค้าในตลาดสำคัญ อาทิ อินเดีย ตะวันออกกลาง และอินโดนีเซีย พร้อมแนะนำรายชื่อผู้นำเข้าและผู้ซื้อเพื่อให้สามารถนำไปต่อยอดการเจรจาการค้าได้จริง

นอกจากนี้ EXIM BANK ยังเดินหน้าจัดกิจกรรม Business Matching ทั้งในรูปแบบออนไลน์และออฟไลน์อย่างต่อเนื่องตลอดปี 2568 รวมถึงประสานความร่วมมือกับหน่วยงานพันธมิตร เช่น กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ หอการค้าไทย และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เพื่อพาผู้ประกอบการ SMEs ไทยเข้าร่วมงานแสดงสินค้าในต่างประเทศ เปิดโอกาสสร้างออเดอร์ใหม่และขยายตลาดส่งออก

สำหรับภาพรวมการส่งออกในปี 2569 EXIM BANK คาดว่าจะขยายตัวในกรอบ 0-2% ชะลอลงจากปี 2568 จากแรงกดดันของสงครามการค้า โดยเฉพาะความไม่แน่นอนของมาตรการภาษีต่างตอบแทน (Reciprocal Tariffs) ของสหรัฐฯ ความขัดแย้งระหว่างประเทศ อาทิ รัสเซีย-ยูเครน และตะวันออกกลาง การหดตัวของการค้าชายแดนบางประเทศ ความผันผวนของค่าเงิน และฐานการส่งออกที่อยู่ในระดับสูงจากการเร่งส่งออกในปีก่อนหน้า

นายชลัช กล่าวว่า ท่ามกลางความท้าทาย ผู้ประกอบการไทยยังสามารถสร้างการเติบโตได้ผ่านกลยุทธ์ “ปรับ-เปลี่ยน-เปิด-ปิด” ได้แก่ การปรับประสิทธิภาพการผลิตด้วยเทคโนโลยีและกระบวนการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การเปลี่ยนแนวคิดเพื่อคว้าโอกาสในตลาดใหม่ เช่น ตลาดสีเขียวและตลาดออนไลน์ การเปิดตลาดศักยภาพใหม่เพื่อลดผลกระทบจากสงครามการค้า และการปิดความเสี่ยงทั้งด้านการเงินและไม่ใช่การเงิน ผ่านประกันการส่งออกและการป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาขายดีแต่ไม่มีกำไร

นโยบาย “Export Co-pilot” สะท้อนบทบาทของ EXIM BANK ที่เป็น “มากกว่าธนาคาร” เป็นคู่คิดและพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ สนับสนุนผู้ประกอบการไทยด้วยเครื่องมือทางการเงินและการบริหารความเสี่ยงอย่างครบวงจร เพื่อผลักดัน SMEs ไทยให้สามารถขยายตลาด เพิ่มมูลค่าส่งออก และยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันตลอดห่วงโซ่อุปทานอย่างมั่นคงและยั่งยืน พร้อมก้าวสู่การเป็น Top of Mind ของผู้ส่งออกไทยในทุกสถานการณ์