กลุ่มบริษัท LCB1 Group ผู้ให้บริการท่าเทียบเรือและโลจิสติกส์ชั้นนำแห่งท่าเรือแหลมฉบัง ฉลองครบรอบ 30 ปี ตอกย้ำศักยภาพการเติบโตด้วยปริมาณสินค้าผ่านท่าคาดแตะ 1.9 ล้านทีอียูภายในสิ้นปี 2568 พร้อมขับเคลื่อนองค์กรด้วยบุคลากรคุณภาพ เทคโนโลยีล้ำสมัย และการลงทุนด้านสิ่งแวดล้อม เดินหน้าสู่เป้าหมายการปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2050.

ตลอดเวลา 3 ทศวรรษที่ผ่านมา LCB1 Group ซึ่งประกอบด้วย บริษัท แอลซีบี คอนเทนเนอร์ เทอร์มินัล 1 จำกัด และบริษัท แอล ซี เอ็ม ที จำกัด ได้มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนภาคอุตสาหกรรมและผู้ส่งออกไทย รวมถึงสายการเดินเรือระดับโลกให้สามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพและต่อเนื่อง ด้วยการทำงานอย่างใกล้ชิดกับ การท่าเรือแห่งประเทศไทย (PAT) รวมถึงหน่วยงานภาครัฐต่างๆ เช่น กรมศุลกากร และกรมเจ้าท่า เพื่อให้กระบวนการโลจิสติกส์ดำเนินไปได้อย่างไร้รอยต่อ
นายคอร์ สแปงจ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท LCB1 กล่าวว่า “ความสำเร็จตลอด 30 ปีของบริษัทไม่ได้วัดจากผลประกอบการเพียงอย่างเดียว แต่สะท้อนถึงความเชื่อมั่นและความร่วมมือจากทุกภาคส่วน การดำเนินงานของ LCB1 ยึดมั่นในความโปร่งใส ความเคารพ และความไว้วางใจ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญขององค์กร การสนับสนุนจากผู้ถือหุ้นระดับโลกอย่าง PSA และ APM Terminals ช่วยยกระดับมาตรฐานท่าเทียบเรือของบริษัทให้เทียบเท่าสากล ขณะเดียวกัน การบริหารโดย Bangkok Modern Terminal Ltd. ก็ยังคงรักษารากเหง้าความเป็นองค์กรของคนไทยไว้ได้อย่างแข็งแกร่ง ปัจจุบัน LCB1 มีพนักงานชาวไทยกว่า 98% โดยหลายคนทำงานร่วมกับบริษัทมานานกว่า 20 ปี ซึ่งสะท้อนถึงความมั่นคงและความผูกพันของบุคลากรต่อองค์กร

“ผมเชื่อว่าบุคลากรคือหัวใจขององค์กร ความภักดีและความทุ่มเทของทีมงานคือพลังที่ทำให้เรามาถึงวันนี้ เราภูมิใจในความเป็นหนึ่งเดียวของทีม LCB1 Group ที่อยู่กับเรามานานและพวกเขาสามารถสืบทอดความเชี่ยวชาญจากรุ่นสู่รุ่น สะท้อนให้เห็นถึงวัฒนธรรมองค์กรที่มั่นคง อบอุ่น และเปี่ยมด้วยพลัง” นายคอร์ สแปงจ์ กล่าว
ในด้านการดำเนินงาน LCB1 Group ให้บริการอย่างยืดหยุ่นและตอบโจทย์ลูกค้าที่มีความต้องการแตกต่างทั้ง 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มสายการเดินเรือหลัก (Main Line Operators) ที่ให้ความสำคัญกับคุณภาพและความสม่ำเสมอ และกลุ่มสายการเดินเรือในภูมิภาค (Intra-Asia) ที่ต้องการความคล่องตัว พร้อมนำนวัตกรรมมาปรับใช้เพื่อยกระดับประสิทธิภาพการทำงาน และเพิ่มความรวดเร็วในการขนส่งสินค้า ทั้งยังมุ่งมั่นให้การสนับสนุนลูกค้าในการรับมือกับสถานการณ์ที่ท้าทายต่างๆ เพื่อให้การขนส่งตู้สินค้าของลูกค้าดำเนินไปได้อย่างราบรื่น

นอกจากความสำเร็จทางธุรกิจแล้ว LCB1 Group ยังยึดมั่นในแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยลงทุนในเทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น การนำเครนล้อยางทั้งระบบไฟฟ้าและระบบไฮบริดมาใช้ ซึ่งสามารถลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ได้มากถึง 70% ต่อเครื่อง ก ารเปลี่ยนอุปกรณ์ยกขนตู้สินค้าที่พึ่งพาพลังงานจากฟอสซิลมาเป็นพลังงานสะอาด เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายการปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2050ขณะเดียวกันยังดำเนินกิจกรรมเพื่อสังคม (CSR) อย่างต่อเนื่อง อาทิ การร่วมบริจาคสิ่งของร่วมกับการท่าเรือฯ การสนับสนุนโรงเรียนในพื้นที่ และการสร้างโอกาสการจ้างงานให้กับคนในชุมชนโดยรอบท่าเรือแหลมฉบัง เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตอย่างยั่งยืน
“กลุ่มบริษัท LCB1 มีความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน โดยสอดคล้องกับนโยบายของการท่าเรือแห่งประเทศไทยและรัฐบาลไทยในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและส่งเสริมเศรษฐกิจสีเขียว เราเชื่อมั่นว่าความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนอย่างต่อเนื่อง คือปัจจัยสำคัญในการสร้างการเติบโตที่มั่นคงและยั่งยืนในระยะยาว” นายคอร์ สแปงจ์ กล่าว

ด้านผลประกอบการ LCB1 Group ยังคงเติบโตสอดคล้องกับการขยายตัวของท่าเรือแหลมฉบัง โดยคาดว่าสิ้นปี 2568 ปริมาณตู้สินค้าผ่านท่าจะอยู่ที่ราว 1.9 ล้านทีอียู เพิ่มขึ้นประมาณ 10% ขณะที่ปี 2569 คาดว่าจะเติบโตต่อเนื่องอีกราว 3% แม้ยังเผชิญความท้าทายด้านเศรษฐกิจโลก แต่บริษัทเชื่อมั่นว่าศักยภาพของภาคการส่งออกและโครงสร้างพื้นฐานท่าเรือจะยังคงช่วยขับเคลื่อนการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง
ในโอกาสครบรอบ 30 ปีนี้ LCB1 Group ยังคงมุ่งมั่นก้าวสู่อนาคตด้วยการเสริมสร้างความร่วมมือกับพันธมิตรทุกภาคส่วน เดินหน้าลงทุนในเทคโนโลยีดิจิทัลและพลังงานสะอาด รวมถึงการพัฒนาศักยภาพบุคลากรไทยอย่างต่อเนื่อง เพื่อรักษาสถานะความเป็น “พันธมิตรที่ไว้วางใจได้” และร่วมสร้างคุณค่าให้เศรษฐกิจและการค้าของประเทศไทยเติบโตต่อไปในอีกหลายทศวรรษข้างหน้า