‘พิพัฒน์‘ สั่งหน่วยงาน ’คมนาคม‘ เฝ้าระวังพายุ ’คัลแมกี‘ เตรียมคน-อุปกรณ์ พร้อมเข้าพื้นที่ทันทีใน 24 ชม.

“พิพัฒน์” สั่ง “หน่วยงานคมนาคม” เฝ้าระวังพายุ “คัลแมกี” ผ่าน 9 จังหวัดอีสาน เสี่ยงน้ำท่วม ย้ำโครงข่ายคมนาคม “ถนน–ราง–น้ำ–อากาศ” เตรียมแผนรับมือทั้งคน-เครื่องมือ พร้อมเข้าพื้นที่ทันทีใน 24 ชม.

นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องติดตามสถานการณ์พายุไต้ฝุ่น “คัลแมกี” อย่างใกล้ชิด พร้อมเน้นย้ำหากเกิดน้ำท่วมให้เร่งระบายน้ำออกโดยเร็ว โดยเฉพาะในพื้นที่เศรษฐกิจ และพื้นที่ชุมชนหนาแน่น เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนในเขตเสี่ยงภัยน้ำท่วม

ทั้งนี้ จากข้อมูลขอฝกรมอุตุนิยมวิทยา พายุไต้ฝุ่น “คัลแมกี” คาดว่าจะเคลื่อนขึ้นฝั่งประเทศเวียดนามในช่วงวันที่ 6–7 พ.ย. 2568 ก่อนอ่อนกำลังลงเป็นพายุโซนร้อนและพายุดีเปรสชัน จากนั้นจะเคลื่อนผ่านประเทศลาวเข้าสู่จังหวัดอุบลราชธานีในวันที่ 7 พฤศจิกายน 2568 โดยจะทำให้ประเทศไทยตอนบนมีฝนเพิ่มขึ้นอย่างกว้างขวาง โดยพื้นที่ที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบจากฝนตกหนักถึงหนักมาก (มากกว่า 90 มิลลิเมตรต่อวัน) ได้แก่ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ครอบคลุม 9 จังหวัด ได้แก่ อุบลราชธานี บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ มหาสารคาม ร้อยเอ็ด ยโสธร อำนาจเจริญ และนครราชสีมา

นายพิพัฒน์ กล่าวต่อว่า ในส่วนของพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดน้ำป่าไหลหลาก น้ำท่วมฉับพลัน และถนนชำรุดเสียหาย ต้องเตรียมพร้อมรับมือผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น ได้สั่งการให้ทุกหน่วยในสังกัดกระทรวงคมนาคม ทั้งด้านบก ราง น้ำ และอากาศ จัดตั้งศูนย์เฝ้าระวังและปฏิบัติการตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมวางแผนรับมือเฉพาะหน้าในแต่ละพื้นที่ โดยเฉพาะบริเวณลาดเชิงเขา ลำธาร และพื้นที่ริมแม่น้ำที่อาจเกิดน้ำล้นตลิ่ง

อย่างไรก็ตามในกรณีที่เกิดเหตุการณ์น้ำท่วมในเส้นทางคมนาคมถูกตัดขาดให้หน่วยงานที่รับผิดชอบเข้าพื้นที่บริหารจัดการเส้นทางทันที เตรียมอุปกรณ์พร้อมจัดทำทางเลี่ยงและอำนวยความสะดวกแก่ประชาชน หากมีการร้องขอ และหากพบถนนหรือสะพานขาด ให้เร่งติดตั้งสะพานเบลีย์ เพื่อให้ประชาชนสามารถสัญจรได้โดยเร็ว ในกรณีที่มีต้นไม้หักโค่นหรือสิ่งกีดขวางถนน ให้ระดมเครื่องจักรกลเข้าดำเนินการเก็บกู้และเปิดทางทันที รวมถึงจัดตั้งป้ายเตือนภัยและจุดอำนวยความสะดวกในพื้นที่เสี่ยงทันที

นายพิพัฒน์ กล่าวอีกว่า ในส่วนของการเดินทางทางน้ำ ผู้ประกอบการควรติดตามข่าวสารและประกาศเตือนจากกรมอุตุนิยมวิทยา และกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยอย่างใกล้ชิด หากมีพายุหรือคลื่นลมแรง เรือเล็กควรงดออกจากฝั่ง ส่วนเรือขนาดใหญ่ควรชะลอการเดินทางจนกว่าสภาพอากาศจะคลี่คลาย เพื่อป้องกันอุบัติเหตุทางน้ำ สำหรับประชาชนทั่วไป หากพบพื้นที่มีน้ำท่วมขัง น้ำหลาก หรือมีความเสี่ยงต่อการสัญจร ขอให้หลีกเลี่ยงการใช้เส้นทางดังกล่าว โดยเฉพาะในช่วงกลางคืน ซึ่งอาจมีสายไฟฟ้า กิ่งไม้ หรือสิ่งกีดขวางที่เป็นอันตราย พร้อมทั้งปฏิบัติตามคำแนะนำและป้ายเตือนของเจ้าหน้าที่อย่างเคร่งครัด

นายพิพัฒน์ กล่าวอีกว่า ได้กำชับหัวหน้าหน่วยงานในสังกัดทุกแห่งให้เผยแพร่ข้อมูลสถานการณ์เส้นทาง และมาตรการช่วยเหลือประชาชนผ่านช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ของหน่วยงานอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลที่ถูกต้องและทันเวลา หากประชาชนต้องการสอบถามหรือติดต่อแจ้งเหตุ สามารถโทรสายด่วนกรมทางหลวง 1586 (โทรฟรี 24 ชม.) และเว็บไซต์ระบบบริหารจัดการภัยพิบัติ (HDMS)สายด่วนกรมทางหลวงชนบท 1146 และสายด่วนกรมเจ้าท่า 1199 ตลอด 24 ชั่วโมง