ทล. หยั่งเสียงภาคเอกชน ร่วมลงทุนมอเตอร์เวย์ M5 ‘รังสิต-บางปะอิน‘ 3 หมื่นล้าน คาดเปิดใช้ปี 74 รองรับจราจรปีละ 14.2 ล้านคัน เชื่อมเดินทางจากภาคกลางสู่อีสาน
“ทางหลวง” เปิดเวทีหยั่งเสียงภาคเอกชน เดินหน้ามอเตอร์เวย์ M5 สายทางยกระดับอุตราภิมุข ช่วงรังสิต–บางปะอิน ระยะทาง 29 กม. มูลค่า 3 หมื่นล้าน คาดเปิดประมูลต้นปี 69 เปิดใช้ปี 74 รองรับจราจรปีละ 14.2 ล้านคัน สร้างประโยชน์ทางเศรษฐกิจกว่า 7.9 พันล้าน เชื่อมการเดินทางจากภาคกลางสู่อีสาน
นายพงศกร จุลละโพธิ รองอธิบดีกรมทางหลวง (ทล.) เปิดเผยว่า วันนี้ (6 พ.ย. 2568) ทล. ได้จัดการประชุมรับฟังความคิดเห็นภาคเอกชน (Market Sounding) สำหรับโครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง (มอเตอร์เวย์) หมายเลข 5 (M5) สายทางยกระดับอุตราภิมุข ช่วงรังสิต–บางปะอิน โดยมีวงเงินค่าลงทุนโครงการรวม 30,080 ล้านบาท ภายใต้รูปแบบการร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน (PPP Gross Cost) โดยการจัดประชุมครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินความสนใจและเปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนได้ร่วมแสดงความคิดเห็นอย่างรอบด้าน เพื่อให้การรวบรวมความคิดเห็นครอบคลุมทุกมิติ และใช้ประกอบการจัดทำเอกสารสำหรับการคัดเลือกเอกชน (RFP)

ด้านนายสุวิชาณ สุระบาล ผู้อำนวยการกองทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง (กองมอเตอร์เวย์) กล่าวว่า สำหรับมอเตอร์เวย์ M5 คาดว่า ทล. ออกประกาศเชิญชวนร่วมลงทุนโครงการอย่างเป็นทางการในช่วงไตรมาส 1/2569 และจะเริ่มดำเนินการก่อสร้างในช่วงปลายปี 2569 ใช้เวลาก่อสร้างประมาณ 4 ปี ตั้งเป้าหมายเปิดให้บริการได้ภายในปี 2574 โดยคาดการณ์ว่า ในปีแรกที่เปิดให้บริการ จะมีปริมาณจราจร 14.2 ล้านคัน และจะเติบโตประมาณ 2.5% ต่อปี ทั้งนี้ เมื่อโครงการแล้วเสร็จ จะช่วยบรรเทาปัญหาการจราจรหนาแน่นบนถนนวิภาวดีรังสิต และถนนพหลโยธิน และเชื่อมโยงภาคกลางสู่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (อีสาน) อย่างรวดเร็ว
สำหรับโครงการนี้ มีรูปแบบการร่วมลงทุนแบบ PPP Gross Cost โดยภาครัฐเป็นเจ้าของทรัพย์สินและรายได้ทั้งหมดจากค่าธรรมเนียมผ่านทาง ส่วนเอกชนจะได้รับค่าตอบแทนจากการให้บริการ (Availability Payment) ตามผลการดำเนินงานจริง โดยมีระยะเวลาดำเนินโครงการรวมไม่เกิน 34 ปี แบ่งเป็น 2 ระยะ คือ ระยะที่ 1 การออกแบบและก่อสร้างงานโยธา พร้อมติดตั้งงานระบบและองค์ประกอบที่เกี่ยวข้อง ระยะเวลาไม่เกิน 4 ปี และระยะที่ 2 การดำเนินงานและบำรุงรักษา (O&M) ระยะเวลาไม่เกิน 30 ปี นับจากวันเปิดให้บริการ
ทั้งนี้ โครงการจะนำระบบจัดเก็บค่าธรรมเนียมผ่านทางอัตโนมัติแบบไม่มีไม้กั้น (M-Flow) มาใช้ตลอดเส้นทาง เพื่อเพิ่มความคล่องตัวในการเดินทางและลดความแออัดของการจราจรบนถนนพหลโยธินอย่างมีนัยสำคัญ เมื่อเปิดให้บริการแล้ว จะยกระดับระบบโลจิสติกส์ของประเทศให้เชื่อมโยงระหว่างภูมิภาคได้อย่างสะดวกและปลอดภัยยิ่งขึ้น นอกจากนี้ โครงการยังสร้างผลตอบแทนในเชิงเศรษฐกิจอย่างมีนัยสำคัญ โดยก่อให้เกิดประโยชน์ทางเศรษฐกิจเป็นมูลค่าปัจจุบันสุทธิกว่า 7,928 ล้านบาท และเกิดการขยายตัวของรายได้ในระบบทางเศรษฐกิจโดยรวมกว่า 120,000 ล้านบาท อันเป็นผลจากการลดต้นทุนด้านเวลาเดินทาง ค่าพลังงาน และต้นทุนโลจิสติกส์

นายสุวิชาณ กล่าวต่อว่า โครงการมอเตอร์เวย์ M5 มีระยะทางรวมประมาณ 29 กิโลเมตร (กม.) มีลักษณะเป็นทางยกระดับขนาด 6 ช่องจราจร (ทิศทางละ 3 ช่องจราจร) แบ่งเป็น 2 ช่วง ได้แก่ ช่วงอนุสรณ์สถาน–รังสิต ระยะทาง 7 กม. ปัจจุบันดูแลโดย ทล. และช่วงรังสิต – บางปะอิน ระยะทาง 22 กม. ซึ่งเอกชนจะเป็นผู้ดำเนินก่อสร้างงานโยธา โดยไปสิ้นสุดที่ทางแยกต่างระดับบางปะอิน ตลอดเส้นทางมีจุดขึ้น–ลงและตำแหน่งเก็บค่าธรรมเนียมผ่านทางรวม 7 แห่ง ประกอบด้วย รังสิต 1, รังสิต 2, คลองหลวง, มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, นวนคร, วไลยอลงกรณ์ และประตูน้ำพระอินทร์ พร้อมจุดพักรถ (Rest Stop) บริเวณตำแหน่งเก็บค่าธรรมเนียมผ่านทางรังสิต 1 ขาเข้า ซึ่งออกแบบให้มีพื้นที่จอดรถ ห้องน้ำ สิ่งอำนวยความสะดวกและบริการแก่ผู้ใช้ทาง
สำหรับโครงการมอเตอร์เวย์M 5 สายทางยกระดับอุตราภิมุข ช่วงรังสิต–บางปะอิน เป็นโครงการสำคัญภายใต้แผนแม่บททางหลวงพิเศษระหว่างเมือง พ.ศ. 2560–2579 ซึ่งมีความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ในการเชื่อมโยงกรุงเทพมหานครกับจังหวัดปทุมธานีและพระนครศรีอยุธยา รวมถึงเป็นเส้นทางสายหลักสำหรับการขนส่งและโลจิสติกส์ระหว่างภาคกลางสู่ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โครงการนี้จะช่วยบรรเทาปัญหาการจราจรติดขัดบนถนนพหลโยธินตอนบนและถนนวิภาวดีรังสิต ส่งเสริมให้การเดินทางและการขนส่งมีความคล่องตัว รวดเร็ว และปลอดภัยยิ่งขึ้น ถือเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาโครงข่ายทางหลวงพิเศษของประเทศไทยให้มีความสมบูรณ์และเชื่อมโยงทุกภูมิภาคอย่างไร้รอยต่อ
