กพท. พร้อมรับ ICAO ตรวจ USAP การรักษาความปลอดภัยการบิน 4-18 พ.ย.นี้ มั่นใจ! ผ่านฉลุย เดินหน้ายกระดับการบินของไทย
กพท. พร้อม 100% รับ ICAO ตรวจ USAP มาตรฐานด้านการรักษาความปลอดภัยการบินพลเรือน 4-18 พ.ย.นี้ สุ่มตรวจ “สุวรรณภูมิ-เชียงใหม่” คาดผ่านฉลุย พร้อมปลื้ม! ครบรอบ 10 ปี ยกระดับการบินของไทย สู่อนาคตอย่างมั่นคง
พลอากาศเอก มนัท ชวนะประยูร ผู้อำนวยการสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) เปิดเผยว่า ในวันที่ 4-18 พ.ย. 2568 องค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) จะเข้ามาตรวจสอบมาตรฐานด้านความปลอดภัยด้านการบินของประเทศไทย ในด้านการรักษาความปลอดภัยการบินพลเรือน (USAP) ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และท่าอากาศยานเชียงใหม่ โดยจะเน้นตรวจสอบมาตรฐานการรักษาความปลอดภัยทุกด้าน อาทิ สนามบิน สายการบิน ครัวการบิน และคลังสินค้า หากพบว่ามีข้อบกพร่องอย่างมีนัยสำคัญต่อการรักษาความปลอดภัย จะให้เวลาแก้ไข และมาตรวจสอบซ้ำอีกครั้ง
ขณะนี้ กพท. ได้ส่งเจ้าหน้าลงพื้นที่ติดตามตรวจสอบการดำเนินงานของภาคส่วนต่างๆ เป็นระยะๆ และมีความพร้อมแล้ว คาดว่า จะผ่านไปได้เช่นเดียวกับการตรวจด้านการกำกับดูแลความปลอดภัย (USOAP) จาก ICAO ที่เข้ามาตรวจระหว่างวันที่ 27 ส.ค.-8 ก.ย. 2568 ซึ่งผลการตรวจ พบว่า ประเทศไทยสามารถทำคะแนนได้สูงถึง 90% สูงกว่าค่าเฉลี่ยมาตรฐานโลกที่ 70% และเพิ่มขึ้นจากการตรวจครั้งก่อนในปี 2562 ที่ไทยเคยได้เพียง 60% ถือเป็นความก้าวหน้าอย่างมีนัยสำคัญ
พลอากาศเอก มนัท กล่าวต่อว่า ขณะนี้ประเทศไทยได้กลับมายืนอยู่ในระดับแถวหน้าของภูมิภาคอีกครั้ง หลังประสบความสำเร็จอย่างโดดเด่นจากการตรวจสอบมาตรฐานความปลอดภัยจากหน่วยงานสากล ทั้งองค์การบริหารการบินแห่งชาติสหรัฐอเมริกา (FAA) ซึ่งไทยได้รับการยกระดับมาตรฐานการบินกลับสู่ CAT 1 หลังถูกลดระดับให้อยู่ CAT 2 ตั้งแต่ปี 2558 และ ICAO โดยประเทศไทยถือเป็นประเทศแรกในโลกที่ได้รับการตรวจครั้งใหญ่ 3 ครั้งในปีเดียวกัน ซึ่งผลการประเมินดังกล่าวได้รับเสียงชื่นชมจากหลายประเทศสมาชิก โดยประเทศฟิลิปปินส์ และอียิปต์ ยังขอให้ไทยช่วยให้คำแนะนำ เพื่อให้ผ่านการประเมิน และได้รับคะแนนสูงเหมือนกับประเทศไทยด้วย
ทั้งนี้ ล่าสุด กพท. ครบรอบ 10 ปีการก่อตั้งขึ้นตั้งแต่เมื่อวันที่ 1 ต.ค. 2558 ที่ผ่านมา ถือเป็นทศวรรษแห่งความภาคภูมิใจ ยกระดับการบินของไทย สู่อนาคตอย่างมั่นคง โดยที่ผ่านมา กพท. ได้ทำหน้าที่ Regulator ดูแลท้องฟ้าไทยให้ปลอดภัย และสร้างความเชื่อมั่นแก่ผู้โดยสารและผู้ประกอบการการบินอย่างต่อเนื่อง ส่วนทิศทางใหม่ในอนาคตนั้น จะเดินหน้ายกระดับมาตรฐานการบินไทยในอนาคตต่อไป
พลอากาศเอก มนัท กล่าวอีกว่า กพท. ได้ให้ความสำคัญกับการสร้างเครือข่ายความร่วมมือระดับนานาชาติ โดยร่วมงานกับพันธมิตรสำคัญอย่าง EASAและ DGAC France ในการพัฒนากฎ มาตรฐาน และบุคลากร รวมถึงการทำงานกับ Airbus และ Boeing เพื่อผลักดันวิสัยทัศน์ “Aviation Hub” ของประเทศให้เป็นจริง ทำให้ไทยมีศักยภาพเป็นศูนย์กลางการบินและการพัฒนาอุตสาหกรรมการบินในภูมิภาค อีกทั้ง ได้วางกรอบการดำเนินงานที่สำคัญ ซึ่งตอบสนองต่อยุทธศาสตร์ชาติ และนโยบายสำคัญของรัฐสำหรับทศวรรษใหม่ 4 เสาหลัก ได้แก่ ความปลอดภัย (Safety), ความยั่งยืน (Sustainability), ความทันสมัยและนวัตกรรม (Innovation) และศูนย์กลางการบินและระบบนิเวศอุตสาหกรรม (Aviation Hub & MRO)
สำหรับความสำเร็จตลอด 10 ปีที่ผ่านมาเป็นผลจากความร่วมมือของทุกภาคส่วน ทั้งหน่วยงานกำกับดูแล สนามบิน สายการบิน ผู้ให้บริการภาคพื้นดิน อุตสาหกรรมการผลิตและซ่อมบำรุง ตลอดจนประชาชนผู้ใช้บริการการบิน และประกาศเจตนารมณ์ว่า กพท. จะเดินหน้าตามหลักการสำคัญ 3 ประการ คือ การยึดความปลอดภัยเป็นลำดับแรก การทำงานในบทบาท Facilitator เพื่อให้อุตสาหกรรมเติบโตบนกติกาที่โปร่งใส และการสื่อสารตรงไปตรงมา เพื่อสร้างความเชื่อมั่นร่วมกัน
ทศวรรษที่ผ่านมา เราพิสูจน์แล้วว่า ประเทศไทยทำได้ จากการปลดธงแดง สู่ Category 1 จากการยกระดับคะแนน USOAP จนได้รับความเชื่อมั่นจาก ICAO ให้เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมระดับโลก Advance Air Mobility Symposium (AAM) 2026 วันนี้ เรากำลังก้าวจากความสำเร็จสู่ความยั่งยืน และจากมาตรฐานสู่ความเป็นผู้นำของภูมิภาค” พลอากาศเอก มนัท กล่าว