สนข. สรุปผลการศึกษา ‘แลนด์บริดจ์’ ลุยเดินหน้าเปิดประมูล-เริ่มสร้างปี 69 เปิดใช้เฟสแรกภายในปี 73

“มนพร” สรุปผลการศึกษา “โครงการแลนด์บริดจ์” มอบ สนข. เดินหน้าประกาศประกวดราคาหานักลงทุน ผลักดันโครงการให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อยกระดับเศรษฐกิจของประเทศ ดึงภาครัฐ – เอกชน – ประชาชน ร่วมเสนอแนะให้ครอบคลุมทุกมิติ คาดเปิดประมูล-เริ่มก่อสร้างภายในปี 69 เปิดให้บริการเฟสแรกในปี 73

นางมนพร เจริญศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยถึงการสรุปผลการศึกษา โครงการศึกษาความเหมาะสม ออกแบบเบื้องต้น ประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมและวิเคราะห์รูปแบบโมเดลการพัฒนาการลงทุน (Business Development Model) โครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่ง เพื่อพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้เพื่อเชื่อมโยงการขนส่งระหว่างอ่าวไทยและอันดามัน (โครงการแลนด์บริดจ์) ว่า ได้นำเสนอสรุปผลการศึกษาข้อมูลรายละเอียดของโครงการ พร้อมรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะจากทุกภาคส่วน โดยมีผู้แทนจากหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ผู้นำชุมชน และประชาชน เข้าร่วมฯ

ทั้งนี้ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้มอบหมายให้เป็นประธานเปิดงานสัมมนาสรุปผลการศึกษาโครงการแลนด์บริดจ์ เมื่อวันที่ 25 ส.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นโครงการที่มีความสำคัญยิ่งในการขับเคลื่อนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานขนส่งทางทะเลของประเทศและเป็นโครงการเรือธงของรัฐบาล ที่ต้องการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทย โดยอาศัยการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ กระทรวงคมนาคมจึงได้ขับเคลื่อนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งขนาดใหญ่หลายโครงการ เพื่อสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน และเพิ่มศักยภาพทางการค้าของประเทศ ตามยุทธศาสตร์ของรัฐบาลที่มุ่งเน้นการเปลี่ยนผ่านจากประเทศที่มีรายได้ปานกลางไปสู่ประเทศที่มีรายได้สูง และพร้อมผลักดันให้ก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางการคมนาคมขนส่งของภูมิภาค ภายใต้นโยบาย “คมนาคมเพื่อโอกาสประเทศไทย”

นางมนพร กล่าวต่อว่า กระทรวงคมนาคม โดยสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) ได้ดำเนินการศึกษาออกแบบโครงการแลนด์บริดจ์ โดยอาศัยความได้เปรียบทางภูมิศาสตร์ของประเทศไทย ที่ตั้งอยู่ใจกลางคาบสมุทรอินโดจีน สามารถเชื่อมต่อทะเลได้ทั้งฝั่งอ่าวไทยและอันดามัน จึงเป็นโอกาสที่จะได้ใช้ประโยชน์จากทำเลที่ตั้งดังกล่าวเพื่อนำมาพัฒนาทางเลือกใหม่ในการขนส่งตู้สินค้าทางทะเลผ่านโครงการแลนด์บริดจ์บนพื้นที่ในประเทศไทย แทนการขนส่งตู้สินค้าผ่านช่องแคบมะละกา ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ลดทั้งเวลาและค่าใช้จ่ายในการขนส่งตู้สินค้าทางทะเลของประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก

นอกจากนี้ ที่สำคัญช่วยเพิ่มขีดความสามารถและศักยภาพในการแข่งขันทางการค้าของประเทศไทย สำหรับการสัมมนาในวันนี้จะเป็นหมุดหมายอันดีที่กระทรวงคมนาคมและ สนข. จะได้นำเสนอสรุปผลการศึกษา จากการลงพื้นที่รับฟังความคิดเห็นตลอดระยะเวลา 4 ปี ตั้งแต่ปี 2564 – 2568 มากกว่า 60 เวที ให้กับผู้เกี่ยวข้องได้รับทราบถึงรูปแบบรายละเอียดของโครงการ รูปแบบโมเดลการพัฒนาและการลงทุน อัตราผลตอบแทนในการลงทุน รวมถึงแผนงานขั้นต่อไปที่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนช่วยกันผลักดันการพัฒนาโครงการแลนด์บริดจ์ให้เกิดขึ้นได้อย่างเป็นรูปธรรม

ขอให้คำยืนยันในความพร้อมของกระทรวงคมนาคมและรัฐบาล ที่จะดำเนินการประกวดราคาหานักลงทุนไทยและต่างชาติมาร่วมกันพัฒนาโครงการแลนด์บริดจ์ และขอให้ทุกท่านใช้เวทีนี้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ด้วยการให้ข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์ต่อคณะผู้ศึกษา เพื่อจะได้นำไปประกอบผลการศึกษาให้มีความสมบูรณ์และครอบคุลมครบทุกมิติมากยิ่งขึ้น”

นางมนพร กล่าว

ด้านนายปัญญา ชูพานิช ผู้อำนวยการ สนข. กล่าวว่า สนข. คาดการณ์ปริมาณขนส่งสินค้าที่มีโอกาสมาใช้ท่าเรือแลนด์บริดจ์ปรับลดลงจากผลการศึกษาเดิม แบ่งเป็น ระยะที่ 1/1 (ปี 2573 – 2574) ปริมาณสินค้ารวมที่ท่าเรือระนอง 3.750 ล้าน TEUs และท่าเรือชุมพร 3.765 ล้าน TEUs ระยะที่ 1/2 (ปี 2575 – 2577) ปริมาณสินค้ารวมที่ท่าเรือระนอง 8.132 ล้าน TEUs และท่าเรือชุมพร 8.067 ล้าน TEUs ระยะที่ 1/3 (ปี 2578 – 2596) ปริมาณสินค้ารวมที่ท่าเรือระนอง 14.092 ล้าน TEUs และท่าเรือชุมพร 13.835 ล้าน TEUs และระยะที่ 2 (ปี 2597 – 2622) ปริมาณสินค้ารวมที่ท่าเรือระนอง 20.000 ล้าน TEUs และท่าเรือชุมพร 20.000 ล้าน TEUs

ทั้งนี้ จากปัจจัยแวดล้อม และสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไป ทำให้ สนข.พิจารณาปรับแผนการพัฒนาท่าเรือแลนด์บริดจ์ใหม่ โดยมีการปรับขนาดการก่อสร้างให้ลดลงจากเดิม เช่น ในระยะที่ 1/1 จะรองรับตู้สินค้าสูงสุดประมาณ 4 ล้าน TEUs จากแผนเดิมที่จะลงทุนก่อสร้างระยะที่ 1/1 เพื่อรองรับตู้สินค้าสูงสุด 6 ล้าน TEUs แต่อย่างไรก็ดี ภาพรวมของแผนลงทุนทั้งหมดจะยังคงเป้าหมายพัฒนาแลนด์บริดจ์ให้รองรับตู้สินค้าสูงสุด 20 ล้าน TEUs

แผนลงทุนตอนนี้ ได้ปรับไซส์ลดลงในช่วงแรกที่ต้องพัฒนา ปรับระยะเวลาการก่อสร้างในการลงทุนใหม่ เหลือเพียง 3 ระยะ พัฒนาเพื่อรองรับตู้สินค้าลดลง ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน หลังจากนั้นก็จะทยอยขยายการลงทุน ส่วนระยะที่ 2 ช่วงปี 2597 – 2622 เป็นแผนในอนาคต หากมีการพัฒนาก็จะรองรับตู้สินค้าเต็มขีดความสามารถคือ 20 ล้าน TEUs”

นายปัญญา กล่าว

นายปัญญา กล่าวอีกว่า จากการปรับขนาดการก่อสร้างแลนด์บริดจ์ ส่งผลให้ สนข.ประเมินวงเงินการลงทุนลดลงเหลือ 9.9 แสนล้านบาท จากแผนเดิมประเมินไว้ 1 ล้านล้านบาท ซึ่งจะศึกษาพัฒนาในส่วนของระยะที่ 1 ทั้ง 3 ระยะ แบ่งเป็น ระยะที่ 1/1 (ปี 2573 – 2574) มูลค่าการลงทุน 6.17 แสนล้านบาท ระยะที่ 1/2 (ปี 2575 – 2577) มูลค่าการลงทุน 1.74 แสนล้านบาท และระยะที่ 1/3 (ปี 2578 – 2596) มูลค่าการลงทุน 2.05 แสนล้านบาท ส่วนระยะที่ 2 (ปี 2597 – 2622) ยังไม่มีการประเมินแผนลงทุน เนื่องจากจะต้องรอให้มีการพัฒนาแผนระยะที่ 1 ให้แล้วก่อน

สำหรับรูปแบบการลงทุน ปัจจุบัน สนข.ศึกษาความเหมาะสมโดยจะเปิดให้เอกชนร่วมลงทุนโครงการรัฐ (PPP) ลักษณะ PPP Net cost สัญญาสัมปทาน 50 ปี โดยการเปิดประมูลใช้หลักการ One Port Two Sides ดำเนินการก่อสร้าง และบริหารงานพร้อมกันทั้งโครงการในสัญญาเดียว และผู้เข้ามาลงทุนจะต้องมีประสบการณ์ในการบริหารท่าเรือ และสายการเดินเรือ เพื่อดึงสินค้าเข้ามาใช้บริการท่าเรือ และจะต้องมีความพร้อมด้านเงินทุนเพื่อลงทุนในโครงการ ทั้งนี้ ปัจจุบัน สนข. อยู่ระหว่างเตรียมเอกสารเพื่อประกาศประกวดราคา (ทีโออาร์) ใช้เวลาดำเนินการ 5-6 เดือน คาดว่าจะเริ่มเปิดประมูลให้เอกชนร่วมลงทุนและเริ่มก่อสร้างภายในปี 2569 คาดว่าจะเปิดให้บริการระยะที่ 1/1 ภายในปี 2573 ซึ่งมั่นใจว่าจะได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากนักลงทุนทั้งไทยและต่างชาติ โดยเฉพาะกลุ่มทุนจีน และดูไบ ซึ่งเข้าร่วมรับฟังข้อมูลโครงการด้วย

สำหรับนักลงทุนไทยและนักลงทุนต่างชาติที่สนใจเข้าร่วมโครงการ เช่น บริษัท ไชน่า ฮาร์เบอร์ เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด, บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน), บริษัท ดีพี เวิลด์ โลจิสติกส์ (ประเทศไทย) จำกัด, บริษัททรานส์เวิลด์ จีแอสเอส (ประเทศไทย) จำกัด, บริษัทมิตซุยแอนด์คัมปนี (ไทยแลนด์) จำกัด, บริษัทสหไทย เทอร์มินอล จำกัด (มหาชน), European Association for Business and Commerce นอกจากนี้ ยังมีเอกชนผู้ประกอบการสายการเดินเรือที่ให้ความสนใจ เช่น บริษัท เมดิเตอร์เรเนียน ชิปปิ้ง (ประเทศไทย) จำกัด, บริษัท เอชเอ็มเอ็ม (ประเทศไทย) จำกัด, บริษัท เอเวอร์กรีน ชิปปิ้ง เอเยนซี่ (ไทยแลนด์) จำกัด, บริษัท อีสเทิร์น ซี แหลมฉบัง เทอร์มินัล จำกัด รวมไปถึงสมาคมเจ้าของและตัวแทนเรือกรุงเทพฯ