ขสมก. เร่งเครื่องเช่ารถเมล์ EV จำนวน 1,520 คัน วงเงิน 1.5 หมื่นล้าน “คมนาคม” เร่งเสนอ ครม. ทบทวนมติจัดหารถ NGV เดิม เปลี่ยนทิศทางรับเทรนด์พลังงานสะอาด คาดเริ่มทยอยรับรถล็อตแรก 500 คันช่วงปลายปีนี้ ครบทั้งหมดภายในปี 69 ตั้งธงยกเลิก “รถเมล์ร้อน” ใช้ EV 100% ภายในปี 72 พร้อมวางเป้าหยุดขาดทุนในปี 73-75
นายกิตติกานต์ จอมดวง จารุวรพลกุล ผู้อำนวยการองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) เปิดเผยถึงความคืบหน้าโครงการเช่ารถโดยสารประจำทาง (รถเมล์) ปรับอากาศพลังงานสะอาด (EV) จำนวน 1,520 คัน วงเงิน 15,355 ล้านบาทว่า ที่ประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด) ขสมก. เมื่อช่วงปลายเดือน มี.ค. 2568 ที่ผ่านมา ได้มีมติอนุมัติโครงการฯ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว และ ขสมก. ได้ส่งเรื่องมายังกระทรวงคมนาคมแล้ว
ทั้งนี้ สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) อยู่ระหว่างการดำเนินการรวบรวมข้อมูล คำชี้แจง และเหตุผลประกอบการขอเปลี่ยนแปลงแผนการจัดหารถให้เสร็จสมบูรณ์ ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) ได้มีหนังสือถึงกระทรวงคมนาคม ให้พิจารณาทบทวนมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เดิมที่เคยอนุมัติให้จัดหารถโดยสารใช้ก๊าซธรรมชาติ (NGV) ซึ่งขณะนี้ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้ลงนามหนังสือ เพื่อส่งเรื่องกลับไปยัง สลค. เพื่อเตรียมบรรจุวาระการประชุม ครม. พิจารณาทบทวนมติดังกล่าวแล้ว
สำหรับสาระสำคัญของคำชี้แจงที่กระทรวงคมนาคมเตรียมนำเสนอ ครม. คือ การเปลี่ยนแผนจัดหารถจากเดิมที่เป็นระบบ NGV เป็นรถโดยสารพลังงานไฟฟ้า (EV) เพื่อให้สอดคล้องกับเทคโนโลยีในปัจจุบันและทิศทางนโยบายพลังงานสะอาดของภาครัฐ ทั้งในแง่ต้นทุนเชื้อเพลิงที่สูงขึ้น รวมทั้งจะช่วยลดต้นทุนในการซ่อมบำรุง และลดการปล่อยคาร์บอนของประเทศ ขณะที่ราคาของรถ EV ในปัจจุบันเริ่มมีแนวโน้มถูกลง และมีต้นทุนการดำเนินงานต่ำกว่ารถ NGV อย่างชัดเจนด้วย
นายกิตติกานต์ กล่าวต่อว่า หาก ครม. เห็นชอบตามที่เสนอฯ คาดว่า จะสามารถลงนามในสัญญาจัดซื้อได้ภายใน 55 วันนับจากวันที่ ครม. มีมติเห็นชอบ (กรอบเวลา e-bidding) หากไม่มีการร้องเรียนหรือคัดค้านต่างๆ โดยเบื้องต้น ขสมก. คาดว่า จะรับมอบรถล็อตแรก จำนวน 500 คันภายในช่วงปลายปี 2568 และจะทยอยรับมอบรถครบทั้งหมดจำนวน 1,520 คัน ภายในปี 2569 ซึ่งจะเป็นก้าวสำคัญของการเปลี่ยนผ่านสู่ระบบขนส่งมวลชนพลังงานสะอาดในกรุงเทพฯ
ทั้งนี้ การเช่ารถเมล์ EV ดังกล่าว อยู่ภายใต้กรอบวงเงินที่ได้รับอนุมัติไว้แล้ว โดยไม่มีการของบประมาณใหม่ และไม่มีภาระหนี้ใหม่เกิดขึ้นเพิ่มเติม โดยแผนการเงินของ ขสมก. ระบุชัดว่า รถเมล์ใหม่ที่จัดหานั้น จะช่วยลดภาระต้นทุนรวมได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในส่วนของต้นทุนเชื้อเพลิง การเหมาจ่ายค่าซ่อมบำรุง รวมถึงค่าใช้จ่ายอื่นที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการรถเมล์เก่า
นายกิตติกานต์ กล่าวอีกว่า ปัจจุบัน ขสมก. มีรถโดยสารประจำทางที่อยู่ในระบบบริการ จำนวนทั้งสิ้น 2,884 คันโดยในจำนวนดังกล่าว นำรถออกให้บริการอยู่ที่ประมาณ 95% ของจำนวนทั้งหมด หรือเฉลี่ยประมาณ 2,740 คันต่อวัน เพื่อรองรับการเดินทางของประชาชนในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ทั้งนี้ หากแบ่งตามประเภทรถโดยสาร จะพบว่า ขสมก. มีรถโดยสารธรรมดา (รถร้อน) อยู่จำนวน 1,520 คัน ส่วนที่เหลืออีกประมาณ 1,364 คัน เป็นรถโดยสารปรับอากาศ (รถแอร์) และรถโดยสารพลังงานสะอาด
ในส่วนแผนการยกเลิกรถเมล์ร้อนนำมาวิ่งให้บริการประชาชนนั้น ขสมก. ตั้งเป้าใช้รถพลังงานสะอาดปรับอากาศ 100% ภายในปี 2572 ซึ่งเป็นไปตามเป้าหมายระยะยาว ขสมก. มุ่งเน้นให้ระบบขนส่งมวลชนของกรุงเทพฯ หันมาใช้พลังงานสะอาดเต็มรูปแบบ สอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์พลังงานของชาติและเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทย ขณะที่ รถเมล์ร้อนที่ยังมีสภาพพอใช้งาน จะถูกจัดให้เป็น “รถสำรอง” ที่สามารถนำมาให้บริการในกรณีพิเศษ เช่น งานกิจกรรมสำคัญ การเช่าเหมาคัน หรือการให้บริการในช่วงที่รถหลักอยู่ระหว่างซ่อมบำรุง เป็นต้น
นายกิตติกานต์ กล่าวต่ออีกว่า รายงานการเงินของ ขสมก. ล่าสุด พบว่า ขสมก. มีหนี้สะสมกว่า 150,000 ล้านบาท แต่ผลการดำเนินงานเริ่มมีแนวโน้มดีขึ้น โดยในปีที่ผ่านมา ขาดทุนลดลงเหลือ 2,900 ล้านบาท จากระดับเฉลี่ยที่เคยขาดทุนปีละกว่า 5,000 ล้านบาท สะท้อนความคืบหน้าของแผนฟื้นฟูกิจการ ขสมก. ที่มีการดำเนินการอย่างเป็นระบบ ทั้งในด้านการลดต้นทุน การเพิ่มรายได้ และการปรับปรุงประสิทธิภาพองค์กรฯ
ทั้งนี้ คาดการณ์ว่า ขสมก. จะสามารถปรับฐานการเงินจนบรรลุจุดคุ้มทุน (EBIDA) เท่ากับศูนย์ ซึ่งหมายถึงการหยุดการขาดทุนในการดำเนินงานประจำปีที่เคยเกิดขึ้นต่อเนื่องมายาวนาน ภายในปี 2573-2575 สืบเนื่องจากการดำเนินการจัดหารถโดยสารพลังงานไฟฟ้า (EV) ผ่านการเช่าใช้งานจำนวน 1,520 คัน พร้อมกับโครงการร่วมลงทุนกับภาคเอกชน (PPP) อีก 1,500 คัน และการพัฒนาพื้นที่อู่ ขสมก. เป็นพื้นที่เชิงพาณิชย์ จะช่วยลดต้นทุนในการดำเนินงานขององค์กรได้อย่างมีนัยสำคัญ
นายกิตติกานต์ กล่าวอีกว่า การจัดหารถ EV ใหม่จะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุง ซึ่งเป็นต้นทุนหลักของการให้บริการรถเมล์ในปัจจุบัน อีกทั้งยังไม่จำเป็นต้องเพิ่มจำนวนพนักงานในระบบเพิ่มเติม โดยปัจจุบัน ขสมก. มีบุคลากรรวมประมาณ 13,000 คน แบ่งเป็น พนักงานขับรถและพนักงานเก็บค่าโดยสารรวมกันประมาณ 8,000 คน และส่วนงานบริหารจัดการส่วนกลางประมาณ 5,000 คน อย่างไรก็ตาม ในอนาคต ขสมก. จะสามารถรักษาระดับกำลังคนให้เหมาะสมกับขนาดของการให้บริการโดยไม่จำเป็นต้องขยายอัตรากำลังเพิ่ม