ครม.ไฟเขียวสร้างมอเตอร์เวย์ M5 ‘รังสิต-บางปะอิน’ มูลค่า 3.1 หมื่นล้าน คาดเสร็จพร้อมเปิดใช้ปี 72 เชื่อมมอเตอร์เวย์ M6

ครม. ไฟเขียวสร้างมอเตอร์เวย์ M5 ส่วนต่อขยายทางยกระดับอุตราภิมุข ช่วงรังสิต – บางปะอิน ระยะทาง 22 กม. มูลค่า 3.1 หมื่นล้าน คาดเปิดประมูลปี 68 แล้วเสร็จพร้อมเปิดให้บริการปี 72 แก้ไขปัญหาจราจรติดขัด เชื่อมโยงการเดินทางมอเตอร์เวย์ M6 มุ่งสู่โคราชแบบไร้รอยต่อ

นายอภิรัฐ ไชยวงศ์น้อย อธิบดีกรมทางหลวง (ทล.) เปิดเผยว่า ตามที่นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้ให้ความสำคัญในการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ โดยได้มอบนโยบายให้หน่วยงานในสังกัดของกระทรวงคมนาคมเร่งรัดการขับเคลื่อนโครงการขนาดใหญ่ที่มีความพร้อมในการผลักดันเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่ออนุมัติดำเนินการก่อสร้างโครงการ โดยในวันนี้ (24 ธ.ค. 67) ครม. ได้มีมติเห็นชอบให้กระทรวงคมนาคม โดย ทล. ดำเนินการให้เอกชนร่วมลงทุน (PPP) โครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 5 ส่วนต่อขยายทางยกระดับอุตราภิมุข ช่วงรังสิต – บางปะอิน ระยะทาง 22 กิโลเมตร (กม.) วงเงินลงทุนโครงการฯ ประมาณ 31,358 ล้านบาท แบ่งเป็นส่วนที่ภาครัฐเป็นผู้รับผิดชอบคือค่าจัดกรรมสิทธิ์ที่ดิน 78 ล้านบาท และเงินลงทุนของภาคเอกชน จำนวน 31,280 ล้านบาท

ทั้งนี้ คาดว่า จะออกประกาศเชิญชวนเอกชนร่วมลงทุนได้ภายในปี 2568 จากนั้นจะลงนามสัญญาร่วมลงทุนได้ในปี 2569 และแล้วเสร็จพร้อมเปิดให้บริการภายในปี 2572 ซึ่งโครงการดังกล่าว เพื่อแก้ไขปัญหาการจราจรติดขัดด้านทิศเหนือของกรุงเทพมหานคร ในแนวทางหลวงหมายเลข 1 (ถนนพหลโยธิน) โดยเฉพาะช่วงเวลาเร่งด่วนเช้าและเย็น อีกทั้งในอนาคตเมื่อโครงการก่อสร้างแล้วเสร็จ จะเป็นการเชื่อมต่อการเดินทางจากใจกลางกรุงเทพมหานครไปสู่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือได้โดยตรง ช่วยให้การเดินทางมีความคล่องตัว สะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย รวมถึงการสนับสนุนกิจกรรมโลจิสติกส์ และเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ

นายอภิรัฐ กล่าวต่อว่า สำหรับโครงการนี้จะดำเนินการในรูปแบบการให้เอกชนร่วมลงทุนแบบ PPP Gross Cost มีระยะเวลาสัญญาไม่เกิน 34 ปี (ก่อสร้าง 4 ปี และ ดำเนินการและบำรุงรักษา หรือ O&M 30 ปี) โดยมีวงเงินลงทุนโครงการฯ ประมาณ 31,358 ล้านบาท แบ่งเป็นส่วนที่ภาครัฐเป็นผู้รับผิดชอบ คือ ค่าจัดกรรมสิทธิ์ที่ดิน 78 ล้านบาท และเงินลงทุนของภาคเอกชน จำนวน 31,280 ล้านบาท โดยให้เอกชนเป็นผู้ลงทุนก่อสร้างงานโยธา งานระบบ พร้อมการดำเนินงาน และบำรุงรักษาตลอดทั้งสายทาง รวมถึงการลงทุนและบริหารจัดการจุดพักรถขนาดเล็ก (Rest Stop) ภาครัฐจะเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในรายได้ค่าธรรมเนียมผ่านทางทั้งหมดของโครงการ

ขณะที่ เอกชนจะได้รับเงินค่าตอบแทนจากการให้บริการ (Availability Payment) จากกรมทางหลวงตามเงื่อนไขที่กำหนดในสัญญา (คิดเป็นจำนวนเงินมูลค่าปัจจุบันไม่เกิน 47,881 ล้านบาท) โดยภาครัฐจะทยอยจ่ายให้เอกชนหลังจากเริ่มเปิดให้บริการ มีกำหนดระยะเวลาแบ่งจ่ายค่าตอบแทนเงินลงทุนก่อสร้างไม่น้อยกว่า 15 ปี และค่าตอบแทนการให้บริการในส่วนของค่าดำเนินงานเป็นระยะเวลา 30 ปี นับจากปีที่เปิดให้บริการ โดยกรมทางหลวงจะได้พิจารณากำหนดเงื่อนไขตัวชี้วัดระดับคุณภาพการให้บริการ (KPI) เพื่อให้เอกชนคู่สัญญารักษาคุณภาพระดับการให้บริการที่ดีและปลอดภัยต่อประชาชนผู้ใช้ทาง