‘มนพร’ เผยท่องเที่ยว ‘นครพนม’ ปี 65-67 โต 300% เล็งเพิ่มไฟล์ทบิน จ่อเปิด 2 รูทใหม่ข้ามภาคเชื่อมเหนือ-ใต้
“มนพร” เผยการท่องเที่ยว “จ.นครพนม” คึกคัก พบปี 65-67 โตกว่า 300% ยอดจองห้องพัก-เครื่องบินแน่นต่อเนื่อง จ่อเพิ่มไฟลท์บินแอร์เชีย “กรุงเทพฯ-ดอนเมือง” เป็นวันละ 4 ไฟลท์ เตรียมขอเปิดบินข้ามภาค 2 รูทใหม่ “นครพนม-ภูเก็ต & นครพนม-เชียงใหม่” คาดเริ่มบินได้ภายในปีนี้ พร้อมจัดอบรม “อาสาวารี” รุ่นที่ 44 สร้างความปลอดภัยการสัญจรทางน้ำ
มนพร เจริญศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า จากข้อมูลด้านการท่องเที่ยวของ จ.นครพนม พบว่า ในช่วงปี 2565-2567 ตัวเลขนักท่องเที่ยวเติบโตกว่า 300% เห็นได้จากยอดจองห้องพัก และจำนวนเที่ยวบินที่มีการจองเต็มมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ หอการค้าจังหวัดนครพนม จึงได้หารือร่วมกับสายการบินไทยแอร์เอเชีย ที่ได้มีการประชุมครั้งแรกไปแล้วเมื่อวันที่ 15 พ.ค. 2567 ที่ผ่านมา เพื่อขอเพิ่มจำนวนเที่ยวบิน เส้นทางกรุงเทพฯ-นครพนม จากวันละ 3 เที่ยวบิน เพิ่มเป็นวันละ 4 เที่ยวบิน
นอกจากนี้ ในการหารือครั้งดังกล่าว ยังได้มีการเสนอขอเปิดเส้นทางบินใหม่ข้ามภูมิภาคเพิ่มเติมอีก 2 เส้นทาง คือ นครพนม-ภูเก็ต และนครพนม-เชียงใหม่ เพื่อรองรับนักท่องเที่ยว ทั้งชาวไทย และชาวต่างชาติ โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวชาว สปป.ลาว และเวียดนาม โดยหลังจากนี้ จะมีการหารืออีกประมาณ 2-3 ครั้ง ก่อนได้ข้อสรุป และเข้าสู่กระบวนการอื่นๆ ต่อไป อย่างไรก็ตาม คาดว่า จะสามารถเริ่มดำเนินการได้ภายในปี 2567
นางมนพร กล่าวต่อว่า ล่าสุดเมื่อวันที่ 19 พ.ค. 2567 ที่ผ่านมา จท. ได้จัดอบรมเครือข่ายอาสาวารี รุ่นที่ 44 จ.นครพนม โดยได้มอบหมายให้ จท. เร่งดำเนินการสร้างเครือข่ายอาสาวารีให้กว้างขวางมากขึ้น ด้วยการ เพิ่มเป้าหมาย และขยายวัตถุประสงค์นำเครือข่ายออกไปสู่ภาคประชาชน หรือองค์กรต่าง ๆ โดยเปิดโอกาสให้ประชาชน องค์กรต่างๆ เข้ามามีส่วนร่วมปฏิบัติงานกับ จท. ในการเฝ้าระวังการเกิดอุบัติเหตุอันอาจเกิดจากการใช้เรือและท่าเทียบเรือ การสัญจรทางน้ำ การแจ้งเหตุเกี่ยวกับมลภาวะทางน้ำ หรือการกระทำสิ่งล่วงล้ำลำน้ำ
ทั้งนี้ เพื่อรองรับนโยบาย “คมนาคม..สร้างสุขทุกการเดินทาง” และ “ราชรถยิ้ม”ของกระทรวงคมนาคม ที่กำหนดให้ปี 2567 เป็นปีแห่งความสุขและความปลอดภัยในทุกการเดินทางของประชาชน จึงได้ให้ความสำคัญในการรณรงค์ด้านความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น และได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน จัดโครงการเพื่อรณรงค์ตามนโยบายดังกล่าว
ในส่วนของความปลอดภัยในการคมนาคมขนส่งทางน้ำ ได้เกิดแนวคิดในรูปแบบเครือข่าย “อาสาวารี” ที่กรมเจ้าท่าจะได้สร้างเครือข่ายภาคประชาชน ในการช่วยสนับสนุนภาครัฐ เสริมสร้างมาตรการความปลอดภัยในการสัญจรทางน้ำ ให้เกิดความสะดวก และปลอดภัยยิ่งขึ้น พร้อมสร้างรอยยิ้ม สร้างความสุข ให้แก่ประชาชน ตามนโยบาย “ราชรถยิ้ม”
นางมนพร กล่าวอีกว่า จ.นครพนม มีพื้นที่ด้านเหนือและตะวันออกของจังหวัดติดกับแม่น้ำโขงโดยตลอด และมีศักยภาพในการพัฒนาการคมนาคมขนส่งทางน้ำกับประเทศเพื่อนบ้าน ประกอบกับมีสถานที่สัญจรและท่องเที่ยวทางน้ำหลายแห่ง อาทิ การล่องเรือชมแม่น้ำโขง ประเพณีแข่งเรือยาว เทศกาลไหลเรือไฟ กระทรวงคมนาคม จึงมอบให้กรมเจ้าท่า พิจารณาจัดขึ้นเป็นรุ่นที่ 44 ที่ จ.นครพนม เพื่อมุ่งที่จะรณรงค์ป้องกันและสร้างมาตรการด้านความปลอดภัยให้กับประชาชนในพื้นที่ จ.นครพนม จำนวน 180 คน
โดยเพื่อให้ได้รับความรู้ความเข้าใจ ในการสัญจรและท่องเที่ยวทางน้ำ และตระหนักในความสำคัญของการร่วมด้วยช่วยกันดูแลความปลอดภัยในการเดินทางสัญจร และท่องเที่ยวทางน้ำในจังหวัดนครพนม และสามารถถ่ายทอดความรู้ที่ได้รับไปยังครอบครัวและชุมชน มีความพร้อมในการเป็นเครือข่ายภาคประชาชนให้กับภาครัฐ อันจะส่งผลให้เกิดประโยชน์ต่อชุมชน สังคม และประเทศชาติต่อไปในอนาคต
ขณะเดียวกัน การอบรมสร้างเครือข่าย“อาสาวารี รุ่นที่ 44 จ.นครพนม” ในครั้งนี้ นอกจากภาครัฐ โดย จท. และกระทรวงคมนาคมเอง จะได้ประโยชน์จากการมีบุคลากรภาคประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมกับกรมเจ้าท่า ตามกรอบอำนาจหน้าที่ ที่เชื่อมโยงเข้าด้วยกันกับภารกิจที่ได้รับมอบหมาย และจิตสำนึกอาสาที่มีความรู้สึกหวงแหนและเป็นตัวแทน “เจ้าท่า” ในการรักษาสาธารณสมบัติของชาติและช่วยเหลือเจ้าหน้าที่กรมเจ้าท่า ในการเฝ้าระวังอุบัติเหตุทางน้ำแล้ว
ทั้งนี้ ประชาชนในพื้นที่ที่เข้าอบรมฯ จะได้ร่วมเรียนรู้ถึงการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ อาทิ การช่วยเหลือผู้ประสบภัยทางน้ำ การปฐมพยาบาลเบื้องต้น ตลอดจนกฎหมายที่เกี่ยวข้อง พร้อมกับช่องทางสื่อสารที่สำคัญในการติดต่อประสานการช่วยเหลือเมื่อเกิดอุบัติเหตุทางน้ำ หรือการร้องขอความช่วยเหลือในเรื่องอื่น ๆ เช่น แจ้งสิ่งล่วงล้ำลำน้ำ ขอคำแนะนำในการเดินทางและท่องเที่ยวทางน้ำ และการร่วมกันปกป้องดูแลสิ่งแวดล้อมทางน้ำในชุมชน ซึ่งจากการอบรมฯ ที่ จท. ได้ดำเนินการผ่านมาแล้ว 43 รุ่น มีเครือข่ายอาสาวารี ทั่วประเทศถึง 6,866 คน ที่จะร่วมกันช่วยดูแลความปลอดภัยลดความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สิน อันเกิดจากอุบัติเหตุทางน้ำลงได้อย่างเป็นรูปธรรมต่อไป