‘เอกชน’ แนะรัฐฯ หนุนภาคโลจิสติกส์ใช้ยานยนต์ไฟฟ้า เข้าสู่เป้าหมาย ‘ลดการปล่อยคาร์บอน’ ก่อนปี 2593

“เอกชน” แนะรัฐฯ หนุนภาคโลจิสติกส์ใช้ยานยนต์ไฟฟ้า เข้าสู่เป้าหมายลดการปล่อยคาร์บอนเร็วขึ้น จากเดิมในปี 2593 พร้อมเพิ่มโอกาสทางการค้ารับมาตรการ “ซีแบม” ขับเคลื่อนสู่เศรษฐกิจสีเขียวอย่างยั่งยืน

นายคณิสสร์ ศรีวชิระประภา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เน็กซ์ พอยท์ จำกัด (มหาชน) หรือ NEX เปิดเผยว่า ตามที่คณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ (บอร์ด EV) เห็นชอบมาตรการสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า ระยะที่ 2 หรือ EV 3.5 ตั้งแต่ปี 2567-2570 โดยรัฐให้เงินอุดหนุนรถยนต์ไฟฟ้า รถกระบะไฟฟ้า และรถจักรยานยนต์ ตามประเภทและขนาดของแบตเตอรี่ สูงสุด 1 แสนบาทต่อคัน เพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าขยายตัวอย่างต่อเนื่อง และดึงนักลงทุนรายใหม่เข้ามาตั้งฐานการผลิตในประเทศ รวมทั้งสนับสนุนเป้าหมายของไทยในการลดก๊าซเรือนกระจกเพื่อก้าวสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนในปี 2593นั้น

ทั้งนี้ แนวคิดและมาตรการดังกล่าว ถือเป็นเรื่องที่ดี แต่ส่วนตัวมองว่ายังไม่ตอบโจทย์ทั้งหมด เพราะรถที่เป็นสาเหตุหลักของการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ต้นกำเนิดฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 มากกว่ารถยนต์ส่วนบุคคลหลายเท่าตัว เป็นรถขนส่งเชิงพาณิชย์ โดยเฉพาะรถบรรทุกขนาดใหญ่ที่เป็นยานพาหนะหลักในภาคโลจิสติกส์ของประเทศ

นายคณิสสร์ กล่าวต่อว่า หากต้องการจะบรรลุเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกและก้าวสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนในปี 2593 สิ่งที่รัฐควรให้ความสนใจ คือกำหนดมาตรการสนับสนุนเพิ่มเติมเรื่องของรถไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ โดยเฉพาะในระบบโลจิสติกส์ ทั้งการขนส่งผู้โดยสาร ขนส่งสินค้าและวัตถุดิบต่างๆ จะสามารถลดการใช้น้ำมันดีเซลได้อย่างยั่งยืน อีกทั้งยังส่งผลให้การขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศเข้าใกล้เป้าหมายตามนโยบายของรัฐบาลได้ตรงประเด็นกว่าการสนับสนุนรถยนต์ไฟฟ้าส่วนบุคคลเท่านั้น

สำหรับในปัจจุบันมียอดจดทะเบียนสะสมรถบรรทุก ตั้งแต่ 6 ล้อขึ้นไปรวมรถหัวลากในตลาดมีกว่า 1.3 ล้านคัน หากผู้ประกอบการกลุ่มนี้ทยอยเปลี่ยนจากรถสันดาปมาเป็นรถขนส่งพลังงานไฟฟ้า อาจจะปีละแค่ประมาณ 10,000 คัน ก็จะทำให้ต้นทุนยิ่งถูกลง และช่วยลดภาวะโลกร้อนได้และส่งเสริมให้ไทยเข้าสู่เป้าหมายการลดปล่อนก๊าซเรือนกระจกได้เร็วขึ้น อีกทั้งยังเพิ่มโอกาสการแข่งขันทางการค้าภายใต้มาตรการปรับคาร์บอนก่อนเข้าพรมแดนของสหภาพยุโรป (Carbon Border Adjustment Mechanism) หรือ CBAM อีกด้วย

ด้าน ผศ.ดร.มะโน ปราชญาพิพัฒน์ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยและบริการวิชาการด้านโลจิสติกส์และซัพพลายเชน วิทยาลัยโลจิสติกส์ และซัพพลายเชน มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา (มร.สส.) กล่าวว่า ขอเสนอให้ภาครัฐกำหนดนโยบายเพื่อส่งเสริมผู้ประกอบการด้านโลจิสติกส์ ในการปรับเปลี่ยนจากรถสันดาปมาเป็นรถพลังงานไฟฟ้า อาทิ จัดเงินอุดหนุนเหมือนกับรถยนต์ไฟฟ้าส่วนบุคคล สิทธิด้านภาษี สิทธิการใช้ช่องทางพิเศษเข้าท่าเรือได้รวดเร็วกว่ารถน้ำมันที่ต้องจอดรอคิวกันหลายชั่วโมงกว่าจะได้ขนถ่ายสินค้า หรืออาจเข้าเมืองเร็วกว่ารถน้ำมัน 1 ชั่วโมง และการสนับสนุนด้านเบี้ยประกันภัย เพื่อเป็นการชวนเชิญให้ผู้ประกอบการขนส่งภาคเอกชนเปลี่ยนมาใช้รถขนส่งไฟฟ้า

“รัฐอาจกำหนดแนวทางสนับสนุนเงินอุดหนุนในการซื้อรถเชิงพาณิชย์ ในกรณีรถที่ผลิตและประกอบในประเทศ ในสัดส่วนชิ้นส่วนรถที่ใช้วัสดุส่วนใหญ่ที่ผลิตในประเทศมากกว่า 70% รัฐอุดหนุนเป็นเงิน 500,000 บาทต่อคัน หรือ 10% กรณีรถที่ผลิตและประกอบในประเทศในสัดส่วนชิ้นส่วนรถที่ใช้วัสดุส่วนใหญ่ที่ผลิตในประเทศมากกว่า 50% รัฐอุดหนุน 300,000 บาทต่อคัน เพื่อเป็นการสนับสนุนให้เกิดการผลิตในประเทศ โดยเงินในการสนับสนุนอาจจะนำมาจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง” ผศ.ดร.มะโนกล่าว

ผศ.ดร.มะโน กล่าวต่อว่า ขณะนี้ผู้ประกอบการโดยเฉพาะด้านส่งออกกำลังเผชิญกับมาตรการ CBAM ขณะที่สหรัฐอเมริกาก็อยู่ระหว่างร่างกฎหมายการเก็บภาษีคาร์บอน และเชื่อว่าอีกหลายประเทศกำลังดำเนินการในเรื่องนี้ ส่วนตัวมองว่าการที่รัฐช่วยสนับสนุนเปลี่ยนรถในระบบโลจิสติกส์และการขนส่งจากรถสันดาปมาเป็นรถพลังงานไฟฟ้า เท่ากับเป็นการช่วยผู้ประกอบการไทยเตรียมความพร้อมในการพัฒนากระบวนการผลิตและการบริการ รวมทั้งการขนส่งที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อรายงานปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เกิดจากกระบวนการผลิตสินค้าตามมาตรการซีแบม ทั้งนี้หากผู้ประกอบการรายใดต้องการข้อมูลหรือคำปรึกษา สามารถสอบถามมาได้ที่เพจเฟซบุ๊ค Rich Cls Ssru ทางสถาบันยินดีให้คำปรึกษา เพื่อช่วยให้ผู้ส่งออกไทยสามารถปรับตัวรองรับมาตรการ CBAM และขับเคลื่อนสู่เศรษฐกิจสีเขียวอย่างยั่งยืน