‘อัฟวาแลนท์’ เผยโฉม ‘Digital Maker Platform’ บนคลาวด์ครั้งแรกในอาเซียน 

“อัฟวาแลนท์” เปิดตัว “Digital Maker Platform” บนคลาวด์ครั้งแรกในอาเซียน ชูฟีเจอร์ใหม่ของ ONEWEB รองรับการขับเคลื่อนธุรกิจยุค “Maker Generation” ช่วยลดค่าใช้จ่าย-เวลาในการพัฒนาบริการใหม่ที่ภาคธุรกิจมีการแข่งขันสูง  พร้อมเดินหน้าขยายฐานลูกค้าเจาะตลาดเอ็นเตอร์ไพร์ทขนาดกลาง เอสเอ็มอี และกลุ่มสตาร์ทอัพ คาดสิ้นปีโต 200%

นายอัครพล บุญวรเศรษฐ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อัฟวาแลนท์ จำกัด ผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาซอฟต์แวร์โซลูชั่นและเทคโนโลยีแพลตฟอร์มชั้นนำของประเทศไทย และเป็นบริษัทไทยรายแรกที่ได้รับมาตรฐานระดับโลก CMMI เปิดเผยว่า จากข้อมูลของการ์ทเนอร์ระบุว่าองค์กรธุรกิจต่างๆ มีทิศทางและเทรนด์มุ่งไปสู่คลาวด์และ Low Code ซึ่งเป็นการพัฒนาซอฟท์แวร์ด้วยเวอร์ชวลไลเตชั่นแทนการเขียนโค๊ด ส่งผลให้การเติบโตของการใช้บริการบนคลาวด์ในรูปแบบ aPaas (application Platform as a Service) และ iPaaS (Integration Platform as a Service) เพิ่มขึ้นสอดคล้องกับความต้องการของตลาด และคาดการณ์ว่าภายในปี 2021 ซอฟท์แวร์บนระบบคลาวด์จะเติบโตอยู่ที่ 59% ส่วนซอฟท์แวร์บนระบบดาต้าเซ็นเตอร์แบบเดิมลดลง 2.6% นอกจากนี้มีการคาดการณ์ว่าภายในปี 2024 จำนวน 65% ของแอพพลิเคชั่นจะถูกพัฒนาขึ้นด้วยเทคโนโลยี Low Code หรือ No Code

ทั้งนี้ จากเทรนด์การเปลี่ยนแปลงของโลกสู่ยุคดิจิทัล ส่งผลให้การขับเคลื่อนธุรกิจขององค์กรต่างๆ ทั้งภาครัฐและภาคธุรกิจปัจจุบันก้าวข้ามยุคดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่นมาแล้ว  และกำลังเข้าสู่ยุค Make Generation เป็นยุคที่ทุกองค์กรต้องสร้างนวัตกรรมอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ โดย Maker สามารถพัฒนาได้เองโดยใช้แพลทฟอร์มที่ง่าย สะดวก ตอบโจทย์ และทำงานได้ครอบคลุม นับเป็นความท้าทายที่สำคัญขององค์กรในปัจจุบันที่จะต้องปรับตัวเพื่อรองรับกับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และต้องเลือกใช้บริการแพลทฟอร์มที่จะผลักดันให้เกิดการขับเคลื่อนนวัตกรรมได้อย่างยั่งยืน  ซึ่งสอดคล้องกับทิศทางการดำเนินงานของ อัฟวาแลนท์ในปีนี้

โดยล่าสุดบริษัท เปิดตัว Digital Maker Platform บนคลาวด์ ซึ่งเข้ามาตอบโจทย์ทุกกลุ่มธุรกิจตั้งแต่ระดับ เอ็นเตอร์ไพร์ซ องค์กรขนาดกลางและขนาดเล็ก รวมทั้งกลุ่มสตาร์ทอัพ ทั้งนี้ ได้พัฒนาฟีเจอร์ของแพลตฟอร์ม ONEWEB ที่เป็นการสร้างประสบการณ์การพัฒนาที่สมบูรณ์ (Complete Development Experience) ที่สามารถปฏิรูปความคิดของคน ในองค์กรให้ออกมาเป็นแอพพลิเคชั่นและสามารถตอบโจทย์การใช้งานของบุคลากรในองค์กรได้อย่างครอบคลุม  สำหรับฟีเจอร์ใหม่ “ONEWEB” เรียกว่า AppSpace ซึ่งมีจุดเด่นที่จะช่วยพัฒนาแอพพลิเคชั่นได้อย่างง่ายและรวดเร็ว มีระบบการจัดการและควบคุมกระบวนการการพัฒนาซอฟท์แวร์บนคลาวด์อัตโนมัติ ลดเวลาการบริหารจัดการซอฟท์แวร์ที่พัฒนาบนคลาวด์ลงกว่าเดิม 6 เท่า  เพื่อนำไปสู่การเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการ  นับเป็นการสร้างระบบนิเวศน์ (Ecosystem) ในการส่งเสริมการพัฒนานวัตกรรมเทคโนโลยีใหม่ของอุตสาหกรรมต่างๆ กลุ่มธนาคาร การประกัน อุตสาหกรรมการผลิต ธุรกิจบริการสุขภาพ ธุรกิจค้าปลีก หน่วยงานราชการ และรัฐวิสาหกิจ นอกจากนี้จะเป็นการขยายฐานลูกค้าเดิมจากกลุ่มคอร์ปอเรท มายังกลุ่มลูกค้าขนาดกลาง เอสเอ็มอี และกลุ่มสตาร์ทอัพ โดยชูบริการบนคลาวด์

“เรามั่นใจว่า “ONEWEB” เข้ามาตอบโจทย์และแก้ไขปัญหาการขาดแคลนบุคลากร เนื่องจากการพัฒนาคนต้องใช้เวลาและค่าใช้จ่ายสูง ทำให้องค์กรธุรกิจสามารถขับเคลื่อนได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งการให้บริการของฟีเจอร์ใหม่นี้ทำงานบนคลาวด์ เป็นกลยุทธ์สำคัญในการขับเคลื่อนการเติบโตและขยายฐานลูกค้าของบริษัทในปีนี้ โดยกลุ่มลูกค้าธุรกิจเอ็นเตอร์ไพร์ทขนาดกลางกับเอสเอ็มอี และกลุ่มสตาร์ทอัพ ที่ใช้บริการ ONE WEB on Cloud คาดเติบโตในสิ้นปีนี้อยู่ที่ 200% และในปี 2020 จะเพิ่มขึ้นอีก 200% โดยมีปัจจัยจากดีมานด์การใช้งานที่เพิ่มสูงขึ้นของภาคธุรกิจ สำหรับฐานลูกค้าเดิมของบริษัทฯจะเป็นกลุ่มองค์กรขนาดใหญ่มีสัดส่วนอยู่ที่ 80% ทั้งนี้จากการขยายฐานลูกค้าและการเปิดฟีเจอร์ใหม่คาดจะทำให้บริษัทมีการเติบโต 20% โดยรวม ” นายอัครพล กล่าว

นายอัครพล กล่าวต่ออีกว่า ในส่วนของทิศทางและปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้เกิดการแข่งขันและพัฒนารูปแบบการให้บริการของผู้ประกอบการในทุกกลุ่มอุตสาหกรรม ธุรกิจและภาครัฐ ซึ่งจะเห็นได้ชัดจากการให้บริการกลุ่มธนาคาร แต่เดิมต้องพึ่งสาขาให้บริการจำนวนมาก แต่ในปัจจุบันบริการรูปแบบโมบายแบงค์กิ้ง ที่สร้างความสะดวกสบายในการใช้งานและก็ไม่ต้องไปธนาคารสาขาอีกด้วย นอกจากนี้กลุ่มการให้บริการของธุรกิจประกันภัย  และโรงพยาบาลมีการพัฒนาระบบการให้บริการที่เพิ่มความสะดวกและผู้ใช้บริการสามารถใช้บริการได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น เช่น การแจ้งเคลม การนัดแพทย์ เป็นต้น อีกส่วนหนึ่งของการทำงานของมูลนิธิต่างๆ เทคโนโลยีทำให้การบริจาคเงินทำบนแอพพลิเคชั่นและคลาวด์ได้ ทั้งนี้จากการแข่งขันในภาคธุรกิจที่เข้มข้นการขับเคลื่อนธุรกิจโดยใช้นวัตกรรมเทคโนโลยี เพื่อชิงความเป็นหนึ่งในด้านการตลาดและยังช่วยส่งเสริมประโยชน์ทางธุรกิจเพิ่มผลกำไรและรายได้ให้กับลูกค้าอีกด้วย

“อย่างไรก็ตามการพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีต่างๆ ที่ต้องอาศัยการขับเคลื่อนที่รวดเร็วนั้น ก่อให้เกิดเป็นคอมมูนิตี้ “Maker Generation” ที่ทุกฝ่ายต้องหันมาพัฒนานวัตกรรมขึ้นมาเองโดยนำเอาประสบการณ์และความคิดสร้างสรรค์มาใช้บนแพลทฟอร์มที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพ อัฟวาแลนท์ เชื่อมั่นในศักยภาพด้านเทคโนโลยีของบริษัทที่จะเป็นฟันเฟื่องสำคัญสนับสนุนภาคธุรกิจและภาครัฐของประเทศไทย รองรับการแข่งขันในตลาดโลกและสร้างความมั่นคงยั่งยืนให้เศรษฐกิจประเทศ” นายอัครพล กล่าว