“ผู้นำเอคเซนเชอร์”ชี้ “ซัพพลายเชนอัตโนมัติ” คือกุญแจสำคัญสู่ความพร้อมปรับตัว และความสามารถในการแข่งขันในอาเซียน  

 ผู้บริหารระดับภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกของเอคเซนเชอร์ เรียวจิ เซคิโดะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (APAC) และ ปฐมา จันทรักษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอคเซนเชอร์ ประเทศไทย ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของ “ความพร้อมปรับตัวของซัพพลายเชน” ท่ามกลางภาวะวิกฤตหลายด้าน (poly-crisis) ในงานฉลองครบรอบ 90 ปีของสมาคมไทย–ญี่ปุ่น โดยชี้ให้เห็นว่า การลงทุนในซัพพลายเชนที่ใช้ระบบอัตโนมัติ (autonomous supply chains) ช่วยให้ธุรกิจสามารถตอบสนองและฟื้นตัวจากภาวะที่มีการเปลี่ยนแปลงหรือหยุดชะงักได้เร็วขึ้น 60-80% มีผลการดำเนินธุรกิจเติบโตขึ้น 2.5 เท่า เพิ่มประสิทธิภาพการใช้ประโยชน์จากสินทรัพย์ได้ถึง 30% และลดปริมาณสินค้าคงคลังลงได้มากกว่า 20%
ซัพพลายเชนอัตโนมัติช่วยให้องค์กรต่าง ๆ สามารถรับมือกับความท้าทายที่เกิดจากความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีต่าง ๆ  เช่น ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ดิจิทัลทวิน (Digital Twin) และ การวางแผนอัตโนมัติ (Autonomous Planning) แนวทางนี้ช่วยให้ธุรกิจสามารถปรับปรุงการดำเนินงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ และตอบสนองต่อโอกาสใหม่ ๆ ได้อย่างทันท่วงที ผลการวิจัยของเอคเซนเชอร์พบว่า องค์กรที่พัฒนาซัพพลายเชนอัตโนมัติสามารถขยายตัวเข้าสู่ตลาดใหม่ได้เร็วกว่าองค์กรอื่นถึง 60–80% และสร้างผลลัพธ์ทางธุรกิจได้สูงกว่าคู่แข่งถึง 2.5 เท่า
ผลสำรวจ Accenture CXO Pulse Survey ล่าสุดยังเผยว่า 78% ของผู้บริหารระดับสูงในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก กำลังทบทวนและกระจายความเสี่ยงของซัพพลายเชน โดย 77% กำลังเพิ่มการลงทุนด้านระบบอัตโนมัติ และ 62% กำลังย้ายฐานการผลิตหรือสร้างโรงงานใหม่
อัตสึชิ เอกาวะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (APAC) ของเอคเซนเชอร์ กล่าวว่า “AI และ GenAI กำลังพลิกโฉมองค์กรครั้งใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นด้านอุตสาหกรรม บทบาทหน้าที่ วิธีการทำงาน และการตัดสินใจต่าง ๆ ล้วนเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงนี้ วงจรการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เร็วขึ้น 10 เท่า และต้นทุนการผลิตที่ลดลงเหลือเพียง 1 ใน 10 ไม่ใช่สิ่งไกลตัวอีกต่อไป แต่เป็นโอกาสเชิงกลยุทธ์ที่มีพร้อมแล้วในปัจจุบัน”
“การพลิกโฉมไม่ใช่แค่เทรนด์ แต่คือความจำเป็นในการแข่งขัน ท่ามกลางสภาพแวดล้อมเช่นนี้ ชัดเจนว่าชัยชนะจะเกิดขึ้นกับองค์กรที่เป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลง ซึ่งจะครองตำแหน่งที่เหนือกว่าและเป็นผู้กำหนดกติกาใหม่ของเกมธุรกิจได้”

“แต่กุญแจสำคัญของการพลิกโฉมไม่ได้ขึ้นอยู่กับเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียว แต่อยู่ที่วัฒนธรรมองค์กรด้วย การปรับสมมติฐานใหม่ในองค์กร ท้าทายกรอบความคิดเดิม และสร้างองค์กรที่พร้อมสำหรับอนาคต ต้องการมากกว่าแค่เครื่องมือ แต่ต้องอาศัยการให้ความสำคัญจากผู้นำอย่างจริงจัง และไม่สามารถมอบหมายให้คนอื่นทำแทนได้ มีเพียงทีมผู้บริหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งซีอีโอเท่านั้น ที่จะขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงระดับนี้ได้ทั่วทั้งองค์กร AI และ GenAI ไม่ใช่แค่เครื่องมือที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ แต่เป็นกลยุทธ์ในการสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน และการปลดล็อกศักยภาพสูงสุดของเทคโนโลยีเหล่านี้ ต้องอาศัยการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมองค์กรครั้งใหญ่ ที่ขับเคลื่อนโดยซีอีโออย่างแท้จริง

เรียวจิ เซคิโดะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (APAC) ของเอคเซนเชอร์ ได้ให้มุมมองเพิ่มเติมภายในงานว่า “ความพร้อมปรับตัวในปัจจุบันไม่ใช่แค่เรื่องของการอยู่รอดขององค์กร แต่คือหัวใจของความสามารถในการแข่งขัน ซัพพลายเชนที่มีความพร้อมปรับตัวสูงสุดคือซัพพลายเชนที่สามารถรับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงได้ก่อน ตอบสนองได้เร็วกว่า และสามารถคว้าโอกาสทางการตลาดได้ ในขณะที่คู่แข่งรายอื่นยังคงอยู่ในช่วงของการพยุงตัวเพื่อตั้งหลัก”

“แต่ความท้าทายที่เกิดขึ้นคือ มีเพียงองค์กรไม่กี่แห่งที่ปรับตัวได้สำเร็จทั่วทั้งองค์กร ส่วนใหญ่ยังติดอยู่กับสิ่งที่เรียกว่า ‘กับดักของการทดสอบ (pilot trap)’ ซึ่งเต็มไปด้วยโครงการย่อย ๆ ที่ยังไม่ขยายผลไปสู่ระดับองค์กร”

“นอกจากนี้ ความพร้อมปรับตัวไม่ได้เป็นเพียงขีดความสามารถในการตั้งรับ แต่เป็นการสร้างแต้มต่อในเชิงรุก และไม่ใช่แค่การฟื้นตัวกลับมา แต่คือการฟื้นตัวและก้าวไปข้างหน้าให้เร็วกว่าคู่แข่ง องค์กรที่มีซัพพลายเชนอัตโนมัติแบบครบวงจรสามารถขยายสู่ตลาดใหม่ได้เร็ว 60–80% และสร้างผลลัพธ์ทางธุรกิจได้สูงกว่าคู่แข่งถึง 2.5 เท่า”
“ระบบอัตโนมัติแบบดั้งเดิมเข้ามาแทนที่งานของมนุษย์ที่เป็นการทำงานแบบซ้ำ ๆ และปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด แต่ซัพพลายเชนอัตโนมัติ จะแตกต่างออกไป โดยเข้ามาแทนที่การตัดสินใจของมนุษย์ ระบบเหล่านี้ขับเคลื่อนโดย AI Agent ที่สามารถรับรู้ ตัดสินใจ และลงมือปฏิบัติได้โดยยังมีมนุษย์คอยตรวจสอบ ความถูกต้องและปรับปรุงผลลัพธ์ให้เหมาะสม นี่คือการเปลี่ยนกรอบความคิดครั้งสำคัญ เพราะระบบอัตโนมัติทำให้กระบวนการเร็วขึ้น แต่ระบบอัตโนมัติที่รับรู้ ตัดสินใจ และลงมือปฏิบัติได้ จะช่วยเพิ่มความฉลาดให้กับกระบวนการทำงาน”
ปฐมา จันทรักษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอคเซนเชอร์ ประเทศไทย กล่าวว่า “ภาวะวิกฤตหลายด้านส่งผลให้เกิดการหยุดชะงักที่เพิ่มขึ้น จนองค์กรต่าง ๆ ได้รับผลกระทบ สูญเสียรายได้ไปประมาณ 1.9 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2567 เพื่อให้ธุรกิจอยู่รอดและเติบโตได้ องค์กรต่าง ๆ ต้องสร้างซัพพลายเชนที่มีความคล่องตัว ยืดหยุ่น และพร้อมรับมือกับอนาคต ด้วยการใช้ประโยชน์จากกลยุทธ์และเทคโนโลยีที่มีนวัตกรรม องค์กรต่าง ๆ จะสามารถก้าวข้ามความปกติใหม่นี้และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทั่วทั้งภูมิภาคอาเซียนได้”