เมื่อช่วงเร็วๆนี้ นายธนากร เกษตรสุวรรณ ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) พร้อมคณะกรรมการและเจ้าหน้าที่ ได้เข้าพบนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม พร้อมด้วยผู้บริหารหน่วยงานในสังกัดกระทรวงคมนาคม อาทิ การท่าเรือแห่งประเทศไทย กรมเจ้าท่าการรถไฟแห่งประเทศไทย กรมการขนส่งทางราง สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร เป็นต้น เพื่อหารือแนวทางการแก้ไขปัญหาและการพัฒนาระบบโลจิสติกส์เพื่ออำนวยความสะดวกการส่งออกไทย ซึ่งภาพรวมการหารือแสดงให้เห็นว่า แม้รัฐบาลชุดปัจจุบันจะมีระยะเวลาในการดำรงตำแหน่งและรักษาการณ์ไม่นานนัก แต่ให้ความสำคัญและตอบสนองต่อข้อเสนอของ สรท. ในการ “สนับสนุนการพัฒนา” และ “ลดข้อจำกัด” ด้านโลจิสติกส์การค้า เพื่อสนับสนุนการส่งออกไทยในโค้งสุดท้ายของปีนี้ รวมถึงการกำหนดนโยบายเพื่อการผลักดันการพัฒนาในระยะยาวเช่นกัน

นายธนากร เปิดเผยว่าการเข้าพบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมในครั้งนี้ สรท. ได้ชูประเด็นเร่งด่วนสำคัญ 3 ด้าน มุ่งยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในเชิงโครงสร้าง เพื่อบรรเทาภาระต้นทุน และอำนวยความสะดวกให้กับผู้ส่งออกไทย ประกอบด้วย
1. ด้านโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะปัญหาความแออัดในท่าเรือแหลมฉบัง ซึ่งเป็นท่าเรือสำคัญต่อการส่งออกของประเทศ รวมถึงการเร่งรัดประเด็นด้านสัญญาสัมปทานไอซีดีลาดกระบัง และการเพิ่มประสิทธิภาพการขนส่งสินค้าทางราง ไปยังโครงการ Single Rail Transport Operator (SRTO) ในท่าเรือแหลมฉบัง ให้มากที่สุดเพื่อลดปัญหาจราจรแออัดในท่าเรือแหลมฉบัง ซึ่งกระทรวงคมนาคมได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการตามข้อเสนอ โดยเฉพาะการจัดสรรพื้นที่จอดรถบรรทุกให้เพียงพอทั้งในท่าเรือและนอกท่าเรือ การติดตามการทำสัญญาสัมปทานสถานีไอซีดีลาดกระบัง และประสานงานกรมศุลกากรเพื่อให้ไอซีดีลาดกระบังสามารถทำพิธีการศุลกากรขาออก
2. ด้านกฎหมายและกฎระเบียบ: เห็นพ้องการผลักดันอย่างต่อเนื่องเพื่อปลดล็อก “การถ่ายลำตู้สินค้าคอนเทนเนอร์” ในท่าเรือแหลมฉบัง ซึ่งคาดว่าสามารถลดต้นทุนส่งออกได้ปีละราว 1,000 ล้านบาท จากที่เสียเปรียบด้านต้นทุนให้คู่แข่งทางการค้ามาโดยตลอดในแง่ของต้นทุนค่าระวางตู้คอนเทนเนอร์ที่สูงกว่าจากการใช้เรือ Feeder ผ่านการเร่งรัดผลักดันการแก้ไขกฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่อการถ่ายลำ 6 ฉบับแรก จากทั้งหมด 17 ฉบับ รวมไปถึงการแก้ไขปัญหา “ความสูง” ของรถบรรทุก ที่กฎหมายไม่สอดคล้องกับหลักปฏิบัติในการขนส่งในปัจจุบันและรวมถึงไม่สอดคล้องกับมาตรฐานสากลที่ใช้กันทั่วโลก โดยเฉพาะกรณีรถบรรทุกตู้คอนเทนเนอร์ขนาด High Cube และรถบรรทุกรถยนต์

3. ด้านการพัฒนาดิจิทัล (Digital Development): โดยคมนาคมมีการเร่งรัดการพัฒนาระบบ Port Community System (PCS) ให้แล้วเสร็จและเริ่มเปิดใช้งานโดยเร็ว และเชื่อมต่อกับระบบบริหารจัดการคิวรถบรรทุก (Truck Queue) เพื่อให้ลดข้อจำกัดในการขนส่งสินค้าภายในท่าเรือแหลมฉบัง อันเปรียบเสมือนประตูหลักสู่การค้าโลกของประเทศไทย
อย่างไรก็ตามกระทรวงคมนาคมและสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย ตระหนักถึงความสำคัญและความจำเป็นในการร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ข้อเสนอนำไปสู่การปฏิบัติเพื่อให้สามารถลดอุปสรรคทางการค้าและโลจิสติกส์ระหว่างประเทศ และ สรท. รับทำหน้าที่เป็นกระบอกเสียงให้กับผู้ประกอบการ ทั้งกลุ่มผู้ส่งออกและผู้ให้บริการโลจิสติกส์ เพื่อที่จะนำเสนอประเด็นปัญหาและข้อเสนอแนะต่อภาครัฐสำหรับผลักดันประเทศไทยให้ก้าวไปสู่เวทีการค้าการแข่งขันในโลกยุคใหม่ได้อย่างยั่งยืนต่อไป