เปิดอาณาจักร “TNK” ชูจุดแข็งขนส่งคุณภาพมัดใจลูกค้า!!!

TNK ขนส่งพันธุ์ไทยเดินหน้าขยายธุรกิจเล็งเพิ่มฟลีทรถ ตอบรับกระแสธุรกิจโตอย่างก้าวกระโดด ชูจุดแข็งบริหารงานอย่างมีประสิทธิภาพ ตรงต่อเวลา ขนส่งปลอดภัย มั่นใจธุรกิจขนส่งโตอย่างต่อเนื่อง รับกระแสอีคอมเมิร์ซมาแรง!!

ถือว่าเป็นบริษัทขนส่งคนไทยที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง สำหรับบริษัท ทีเอ็นเค กรุ๊ป เซอร์วิส จำกัด ที่เริ่มต้นบริษัทด้วยการเป็นห้างหุ้นส่วน จำกัด นิติบุคล จนปัจจุบันเป็นบริษัทอย่างเต็มรูปแบบ และมีฟลีทรถขนส่ง กว่า 70 คัน โดยมีลูกค้ารายสำคัญ ไม่ว่าจะเป็น สินค้าของเซเว่นอีเลฟเว่น (7-11), SB เฟอร์นิเจอร์และไปรษณีย์ไทย เป็นต้น

การเริ่มต้นธุรกิจในฐานะที่เป็นผู้ก่อตั้ง และไม่เคยอยู่ในธุรกิจนี้มาก่อนไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะฝ่าสมรภูมิธุรกิจมาได้จนถึงทุกวันนี้

นายธันย์ธำรง ชนะกุลนิธีพริสร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทีเอ็นเค กรุ๊ป เซอร์วิส จำกัด เปิดเผยว่า ตนได้เริ่มต้นธุรกิจขนส่งโลจิสติกส์เมื่อปี พ.ศ. 2551 ได้ดำเนินการธุรกิจในนามห้างหุ้นส่วนจำกัด TNK Group Service และดำเนินการมาเป็นระยะเวลา 3 ปี ต่อมาแปรสภาพมาเป็นบริษัท TNK Group Service เพื่อให้สอดคล้องรับการเติบโตของบริษัทจนถึงปัจจุบันนี้

ปัจจุบันมีรถขนส่ง 70 กว่าคัน ไม่รวมรถร่วมที่มี 10 กว่าคัน โดยรถมี 4 ประเภท ได้แก่ รถ 7 เมตรครึ่ง จำนวน 10 คัน รถประเภท ตัว 5 เมตร 50 มี 30 คัน และสี่ล้อจ้มโบ้ มีประมาณ 30-40 คัน และที่เหลือเป็นรถกระบะ จากจุดเริ่มต้นทำธุรกิจมีรถอยู่ 1 คันในนามบุคคล ซึ่งนำไปรับงานของโกลสตาร์ และต่อมาวิ่งกับ 7-11 ซึ่งเราเน้นในส่วนรถที่ดูแลบริหารงานเอง ขณะที่พนักงานขับรถจะมีคันละ 2 คน ซึ่งมีคนขับและผู้ช่วยคนขับ ข้อดีของการใช้รถของตัวเอง มีความคล่องตัวมากกว่าและที่ผ่าน
มาไม่ค่อยประสบปัญหาเรื่องผู้ขับขี่ขาดแคลน เพราะตั้งแต่ที่ตนเองทำธุรกิจมา จะเป็นคนที่เรียนรู้และศึกษากันไป ไม่ทำแบบก้าวกระโดด ซึ่งทำให้พนักงานขับรถอยู่ด้วยกันมานาน บ้างคนอยู่กันมาเป็น 10 ปี ใช้หลักปกครองงานแบบพี่-น้อง ไม่ใช้ปกครองลูกน้อง-เจ้านาย ซึ่งพนักงานสามารถบอกปัญหาหรือสิ่งที่ต้องการให้ช่วยเหลือได้

“จากจุดเริ่มต้นดังกล่าวจึงเปิดเป็นบริษัท เพื่อรับงานโดยตรง เพื่อรองรับงานของ SBเฟอร์นิเจอร์ และช่วงนั้นวิ่งได้ 3 ปีกว่า มีการเติบโตตามลำดับ จึงแปรสภาพเป็นบริษัทเพื่อให้สอดคล้องกับงานเป็นบริษัท เพื่อรองรับงานประมูล ซึ่งได้งานที่ไปรษณีย์ไทย และมีปริมาณงานเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และได้ทำการขยายเพิ่มเติมเพื่อรองรับลูกค้า ซึ่งเราจะได้มีการ
จดทะเบียนรถใหม่ และรถที่ใช้มีระยะเวลาแค่ 5-6 ปี แต่ถ้ารถ 6 ล้อที่วิ่งจากกรุงเทพ-เชียงใหม่ ใช้รถเพียง 3 ปีเท่านั้น ก็จะทำเปลี่ยน เพราะเป็นรถยนต์ที่วิ่งระยะไกล และต้องวิ่งให้ทัน เพื่อให้ส่งสินค้าให้ทัน รถต้องมีความพร้อมตลอด “นายธันย์ธำรง กล่าวและว่า กลุ่มลูกค้าที่จะทำการขยายเพิ่ม จะมองในเรื่องของประสิทธิภาพในการว่าจ้างขนส่ง เพราะมีในเรื่องของต้นทุนการขนส่ง โดยเราจะดำเนินธุรกิจแบบค่อยเป็นค่อยไป ส่วนใหญ่จะรับงานใกล้พื้นที่ที่เราสามารถดูแลได้ 100%
เมื่อถามถึงการลงทุนในปีนี้และปีหน้า นายธันย์ธำรง กล่าวว่า ปี พ.ศ. 2561และ 2562 ซึ่งยังลงทุนต่อเนื่อง คือการจัดสรรหารถใหม่เข้ามา ทดแทนรถที่ปลดประจำการ ซึ่งรถที่ใช้ส่งของให้กับลูกค้าจะต้องไม่มีการเสียระหว่างทาง และถึงตามเวลาที่ลูกค้านัดหมาย

ส่วนการเจริญเติบโตนั้น ปี พ.ศ. 2560-2561 ถือว่าเป็นการเติบโตแบบก้าวกระโดด เกือบ 50% เนื่องจากแนวโน้มธุรกิจขนส่งตั้งแต่ปี 2560 เติบโตอย่างดี เพราะการแข่งขันเพิ่มขึ้นจากผู้ประกอบการโลจิสติกส์ ที่บริการให้มีประสิทธิภาพและสอดคล้องรับกระแส โดยในปี พ.ศ. 2562 จะเห็นการแข่งขันผู้ให้บริการด้านโลจิสติกส์ เพื่อรองรับธุรกิจ อีคอมเมิร์ซ ซึ่งช่วงนี้มีการเติบโตอย่างมาก

“การที่จะอยู่ในธุรกิจนี้อย่างยั่งยืน การตรงต่อเวลาในการรับส่งสินค้า พนักงานขับรถก็ต้องตรงต่อเวลาด้วย ซึ่งทำให้ลูกค้าไม่สามารถแข่งขันเรื่องของการตัดราคาได้เลย และผมก็ไม่ลงไปเล่นเรื่องของราคาด้วยเช่นกัน ซึ่งค่าขนส่งจะยืนตามราคาน้ำมันตลาดโลก เพราะจุดแข็งเราเน้นเรื่องของประสิทธิภาพและคุณภาพ ซึ่งตลอดระยะเลาที่ผ่านมา ผมเองได้มีการจัดโครงการ ขับรถปลอดภัย ให้กับพนักงานอย่างต่อเนื่องทุกปี ที่ผ่านมาได้มีวิทยากรจากบริษัท วิริยะประกันภัย มาให้ความรู้ นอกจากนี้รถของบริษัททุกคัน จะมีการติดตั้งระบบจีพีเอสเพื่อควบคุมการขับขี่รถ” นายธันย์ธำรง กล่าว

อีกตัวอย่างของบริษัทขนส่งพันธุ์ไทยที่บริหารงานอย่างมีประสิทธิภาพที่ชนะใจทั้งผู้ใช้บริการและผู้ร่วมงาน!!