สรท.ห่วงบาทแข็งซ้ำเติมกำลังซื้อ ชงรัฐบาล 7 ข้อเร่งแก้ไข !

นายธนากร เกษตรสุวรรณ ประธาน สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.)  ระบุว่าภาวะการค้าระหว่างประเทศของไทยเดือสิงหาคม 2568 พบว่า การส่งออกมีมูลค่า 27,743 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว ร้อยละ5.8 เทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน การนำเข้า มีมูลค่า 29,707 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว ร้อยละ 15.8 (หักสินค้าเกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน ทองคำ และยุทธปัจจัย ขยายตัวที่ร้อยละ 5.4) ขณะที่ การส่งออกในรูปเงินบาทมีมูลค่า 889,014 ล้านบาท หดตัว ร้อยละ 5.5 เทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน การนำเข้า มีมูลค่า 964,331 ล้านบาท ขยายตัว ร้อยละ 3.6 ส่งผลให้ดุลการค้าของประเทศไทยในเดือนสิงหาคม 2568 ขาดดุลเท่ากับ 1,964 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และขาดดุลในรูปของเงินบาท 75,317 ล้านบาท

ภาพรวมการค้าระหว่างประเทศของไทยในเดือนมกราคมสิงหาคม ของปี 2568 เทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) พบว่า ไทยส่งออกรวมมูลค่223,175 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว ร้อยละ 13.3 เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีมูลค่าในรูปเงินบาทเท่ากับ 7,396,314 ล้านบาท ขยายตัว ร้อยละ 4.7 (หักสินค้าเกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน ทองคำ และยุทธปัจจัย ขยายตัว ที่ร้อยละ 13.3) ในขณะที่ การนำเข้ามีมูลค่า 224,880 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว ร้อยละ 11.3 และมีมูลค่าในรูปเงินบาทเท่ากับ 7,544,896 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 3 ส่งผลให้ดุลการค้าของประเทศไทยในเดือนมกราคม – สิงหาคม 2568 ขาดดุลเท่ากับ 1,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นการขาดดุลในรูปเงินบาท 148,580 ล้านบาท

ทั้งนี้ สรท. ยังเชื่อมั่นว่าการส่งออกปี 2568 จะเติบโตระหว่างร้อยละ 3-5 (ณ ตุลาคม 2568) ซึ่งเป็นผลจากการเติบโตอย่างมากของการส่งออกในช่วงไตรมาส 1-2 ที่ผ่านมา ส่งผลให้แม้การส่งออกของไทยจะเริ่มชะลอตัวลงในไตรมาส 3-4 ยังทำให้ภาพรวมการส่งออกไทยตลอดทั้งปีนี้ยังมีการเติบโต อย่างไรก็ตาม สรท. เฝ้าระวังปัจจัยเสี่ยงและความผันผวนที่สำคัญซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทยในระยะที่เหลือของปี 2568 และปี 2569 ประกอบด้วย

1) มาตรการภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ (Reciprocal Tariff) เริ่มส่งผลให้เกิดความผันผวนในระบบเศรษฐกิจทั่วโลก และสะท้อนความเปราะบางของการค้าโลกในระยะต่อจากนี้ไป  2) ค่าเงินบาทแข็งค่าสูงกว่าประเทศคู่ค้าและคู่แข่งอื่นในภูมิภาค ซึ่งแม้จะเกิดจากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงอย่างรวดเร็ว แต่ยังมีปัจจัยอื่นเป็นตัวเร่งเพิ่มเติม และมีผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของผู้ส่งออกอย่างยิ่ง
3) ข้อจำกัดในการเข้าถึงสินเชื่อของผู้ประกอบการรายย่อย โดยเฉพาะการขาดหลักทรัพย์ค้ำประกัน ส่งผลให้ขาดเงินทุนสำหรับการขยายตัวทางธุรกิจ และรวมถึงทำให้การหาตลาดใหม่ชดเชยตลาดเก่าทำได้ในวงจำกัด 4) การขาดแคลนวัตถุดิบสำหรับการผลิตเพื่อส่งออก ซึ่งสืบเนื่องจากผลผลิตทางการเกษตรในประเทศไม่เพียงพอต่อความต้องการ รวมถึงข้อจำกัดในการนำเข้าวัตถุดิบสำหรับการผลิต 5) ปัญหาการสวมสิทธิเพื่อ Re-export สินค้าไม่มีคุณภาพหรือไม่มีมาตรฐานส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์สินค้าไทยในภาพรวม
ทั้งนี้ สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย มีข้อเสนอแนะที่สำคัญ 7 ข้อหลักเพื่อให้รัฐบาลและหน่วยงานภาครัฐ เร่งดำเนินการ ประกอบด้วย
1) กำกับดูแลค่าเงินบาทให้มีเสถียรภาพ และสอดคล้องกับทิศทางค่าเงินของภูมิภาค และสนับสนุนให้ผู้ประกอบการสามารถป้องกันความเสี่ยงค่าเงินบาทด้วยต้นทุนที่เหมาะสม 2) กำกับดูแลและเร่งปรับลดต้นทุนการประกอบธุรกิจ ประกอบด้วย อัตราดอกเบี้ยนโยบาย และอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ของธนาคารพาณิชย์ ต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับแรงงาน ต้นทุนพลังงาน รวมถึงชะลอการออกกฎหมายหรือการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมเพิ่มเติมจากการประกอบธุรกิจ อาทิ 2.1) ขอให้ทบทวน (ร่าง) พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. และขอให้มีผู้แทนภาคเอกชนเข้าร่วมในการพิจารณาร่างกฎหมาย เพื่อสะท้อนความเห็นและมุมมองต่อการปรับปรุงกฎหมายให้ครอบคลุมทุกภาคส่วน รวมถึงการกำหนดกลไช่วยเหลือนายจ้างที่ไม่สามารถแบกรับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นและจำเป็นต้องปรับขึ้นราคาสินค้า ซึ่งจะกระทบกับภาคประชาชนในภาพรวม 2.2) การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ขอให้เป็นไปตามกลไกคณะกรรมการไตรภาคี หรือคณะกรรมการค่าจ้าง
3) เร่งรัดการพิจารณาอนุมัติและเบิกจ่ายงบประมาณเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ รวมถึงเพิ่มวงเงินงบประมาณสำหรับการจัดกิจกรรมส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ และเร่งรัด/ขยายการเจรจาความตกลง FTA ให้ครอบคลุมประเทศคู่ค้าสำคัญ 3.1) จัดสรรงบประมาณเพื่อให้มีกองทุน SME สำหรับการร่วมลงทุนกับภาคเอกชนรายย่อยซึ่งมีโอกาสทางธุรกิจแต่ขาดเงินทุนและให้ซื้อทุนคืนจากรัฐเมื่อเอกชนรายนั้นมีความสามารถทางการเงินเพียงพอ  4) เร่งแก้ไขปัญหาโลจิสติกส์การค้า โดยเฉพาะปัญหาความแออัดท่าเรือแหลมฉบังให้เป็นรูปธรรมและกำหนดแนวทางดำเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตามข้อเสนอของภาคเอกชน
5) เพิ่มความเข้มงวดและกำกับดูแลมาตรฐานราคา ภาษีสินค้านำเข้า ทั้งในรูปของการค้าปกติและการค้าในรูปแบบออนไลน์ เพื่อปกป้องความปลอดภัยของผู้บริโภคและให้มีการแข่งขันอย่างเป็นธรรมกับผู้ประกอบการในประเทศ
6) เพิ่มความเข้มงวดการตรวจสอบการสวมสิทธิ์สินค้าไทยในการส่งออกไปยังประเทศที่ 3 และ7) สานต่อนโยบายที่ดีและมุ่งเน้นสร้างความโปร่งใสในการบริหารจัดการงบประมาณ เพื่อให้สามารถใช้งบประมาณให้เกิดความคุ้มค่าต่อประเทศมากที่สุด ด้วยการ 7.1) ยกระดับรัฐบาลอิเล็ทรอนิกส์ (Digital Government)และ 7.2) ออกกฎหมายสำหรับกระบวนการทำงานใหม่ในระบบดิจิทัล เพื่อต่อต้านการคอร์รัปชั่น.