‘พิพัฒน์-มัลลิกา‘ รมต.คมนาคมใหม่ เข้ากระทรวงฯ วันแรก แจ้งหน่วยงานเร่งขับเคลื่อนโปรเจกต์ปี 69 จ่อชง ครม. คลอดแพ็คเกจลดค่าครองชีพการเดินทาง สรุปใน 2 สัปดาห์

“พิพัฒน์” ควง “มัลลิกา” รมต.ป้ายแดง ยุค “อนุทิน 1” เข้าปฏิบัติหน้าที่ “คมนาคม” วันแรก แจ้งทุกหน่วยงานในสังกัด เร่งขับเคลื่อนโปรเจกต์งบปี 69 ขอให้ร่วมแรง-ร่วมใจทำงานเต็มความสามารถ เผยค่ารถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย “สีแดง-สีม่วง” สิ้นสุดมาตรการ 30 ก.ย.นี้ จ่อชง ครม. ทบทวนมติเดิม พร้อมเตรียมคลอด “แพ็คเกจ” ลดค่าครองชีพการเดินทาง คาดได้ข้อสรุปภายใน 2 สัปดาห์หลังแถลงนโยบาย ยันเดินหน้าแลนด์บริดจ์-ทางคู่สายใต้ 3 เส้นทาง ลั่น! “ข้อพิพาทที่ดินเขากระโดง” สั่ง รฟท. เร่งฟ้องรายแปลง 995 แปลง ชี้ต้องทำตามระเบียบกฎหมาย

นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยภายหลังเข้าปฏิบัติหน้าที่ที่กระทรวงคมนาคมวันแรก (25 ก.ย. 2568) ว่า ตามที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี กำหนดยุบสภาภายในสิ้นเดือน ม.ค. 2568 หรือภายในระยะเวลา 4 เดือน นับจากการแถลงนโยบายต่อรัฐสภานั้น ได้แจ้งหน่วยงานภายใต้สังกัดกระทรวงคมนาคม ทั้งส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ องค์กรอิสระ และองค์การมหาชน เร่งรัดดำเนินการโครงการต่างๆ ภายในปีงบประมาณ 2569 ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 2568 เป็นต้นไป ให้แล้วเสร็จตามแผนที่กำหนดไว้ ทั้งนี้ ตนขอให้ร่วมแรง ร่วมใจให้ทุกหน่วยงาน ช่วยกันทำงานอย่างเต็มความสามารถ อย่างไรก็ตาม กระทรวงคมนาคม ถือเป็นกระทรวงที่สำคัญที่สุดกระทรวงหนึ่งของประเทศไทย ในระดับ AAA++ ที่ต้องดำเนินการทุกเรื่องให้เร็วที่สุด เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศไทย ครอบคลุมทั้งทางบก ทางน้ำ ทางราง และทางอากาศ

วันนี้ เป็นวันแรกที่ผมก้าวเข้ามาสู่กระทรวงคมนาคม สิ่งที่ผมขอ ก็คือ ขอหัวใจ ขอแรง ขอกำลัง จากเพื่อนๆ ข้าราชการในกระทรวงคมนาคม ให้พวกเราเดินหน้าไปต่อด้วยกัน เพื่อร่วมกันพัฒนาประเทศของเราจากเสือตัวที่ 10 ว่าเป็นไปได้ไหม ที่เราอยู่ในข่วงระยะเวลาสั้นๆ ให้คนไทยทั้งประเทศ ชาวอาเซียน ชาวเอเชีย และชาวโลกทั้งหมด มองเห็นว่า รัฐบาลนี้ มีระยะเวลาทำงาน 4 เดือน ได้พัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทย” นายพิพัฒน์ กล่าว

นายพิพัฒน์ กล่าวต่อว่า ในส่วนนโยบายการทำงานของกระทรวงคมนาคม จะดำเนินการอะไรอย่างไรบ้างนั้น จะต้องรอแถลงนโยบายในวันที่ 29-30 ก.ย. 2568 ก่อน ขณะที่มาตรการค่าโดยสารรถไฟฟ้าสูงสุดไม่เกิน 20 บาท หรือ 20 บาทตลอดสาย ที่ปัจจุบันได้ดำเนินการกับโครงการรถไฟฟ้าสายสีแดง ช่วงบางซื่อ-รังสิต และบางซื่อ-ตลิ่งชัน และรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงเตาปูน-คลองบางไผ่นั้น ทั้งนี้ จะสิ้นสุดมาตรการในวันที่ 30 ก.ย. 2568 แม้มติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 8 ก.ค. 2568 ที่ผ่านมา จะขยายระยะเวลาไปจนถึงวันที่ 30 ก.ย. 2569 ก็ตาม ส่งผลให้ในวันที่ 1 ต.ค. 2568 นี้ จะกลับไปเก็บค่าโดยสารในอัตราเดิมก่อน

อย่างไรก็ตาม หลังจากนี้ จะต้องหารือกับ ครม. อีกครั้งถึงเรื่องดังกล่าว ว่า เนื่องจากเมื่อมีการเปลี่ยนรัฐบาล มติ ครม. เดิมจะยังมีผลต่อเนื่องหรือไม่ อีกทั้ง เพื่อพิจารณาว่า สามารถดำเนินมาตรการลดค่าครองชีพในการเดินทางของประชาชนได้มากกว่านี้หรือไม่ โดยจะทำเป็นแพ็คเกจมาตรการการเดินทางของประชาชน เช่น ลดค่าทางด่วน ค่ารถโดยสารประจำทางไฟฟ้า รวมถึงค่ารถไฟฟ้าในเส้นทางอื่นๆ เป็นต้น โดยคาดว่า จะได้ข้อสรุป และเริ่มประกาศใช้มาตรการลดค่าครองชีพในการเดินทางบางส่วนได้ภายใน 2 สัปดาห์ ส่วนการซื้อคืนสัมปทานรถไฟฟ้านั้น ยังอยู่ระหว่างการศึกษา แต่ไม่ได้ถูกตัดออกจากแผน

นายพิพัฒน์ กล่าวอีกว่า แม้รัฐบาลจะมีกรอบเวลาการทำงานเพียง 4 เดือน แต่จะเร่งเดินหน้าโครงการโครงสร้างพื้นฐานใหญ่ที่รอระหว่างการนำเสนอ ครม. เช่น โครงการสะพานเศรษฐกิจเชื่อมทะเลอ่าวไทย-อันดามัน (Land Bridge) ซึ่งยืนยันว่า จะเดินหน้าโครงการอย่างต่อเนื่อง แม้จะมีทั้งผู้สนับสนุนและผู้คัดค้าน นอกจากนี้ จะเดินหน้าโครงการรถไฟทางคู่ ระยะที่ 2 จำนวน 3 เส้นทาง คือ เส้นทางชุมพร-สุราษฎร์ธานี, เส้นทางสุราษฎร์-ชุมทางหาดใหญ่-สงขลา และเส้นทางชุมทางหาดใหญ่-ปาดังเบซาร์ เป็นต้น

ขณะที่ กรณีคดีพิพาทที่ดินบริเวณเขากระโดงนั้น จากการหารือร่วมกับนายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เมื่อช่วงเช้าของวันนี้นั้น ได้เน้นย้ำว่า ต้องดำเนินการตามระเบียบกฎหมาย โดยถือว่าเป็นเรื่องของ รฟท. ที่ต้องไปดำเนินการฟ้องร้องกับผู้บุกรุกในแต่ละราย รวมจำนวน 995 แปลง ดังนั้น เรื่องนี้ตนขอยืนยันว่า แม้ตนจะมาจากพรรคภูมิใจไทย รวมถึงนายกรัฐมนตรี ได้กำกับดูแลกระทรวงมหาดไทยนั้น แต่ก็ไม่ได้จะเอื้อประโยชน์ฝ่ายใด เรื่องนี้ต้องทำตามกฎหมาย ขอให้ รฟท. เร่งฟ้องดำเนินคดีต่อไป