SME D Bank ผนึก ธ.ก.ส. ยกระดับกระบวนการหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ มุ่งเน้นผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย สร้างความเท่าเทียม ขับเคลื่อนสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน
2 สถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ “SME D Bank” กับ “ธ.ก.ส.” ผนึกกำลังภายใต้ “โครงการคู่ความร่วมมือของรัฐวิสาหกิจ ด้านการมุ่งเน้นผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย” ยกระดับและพัฒนากระบวนการและการจัดการ ตามแนวทาง Core Business Enablers ของ สคร. มุ่งแลกเปลี่ยน เรียนรู้ สร้างโอกาส และความเท่าเทียมให้แก่ทุกกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย นำไปสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน
ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank โดย นายพิชิต มิทราวงศ์ กรรมการผู้จัดการ และ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) โดย นายฉัตรชัย ศิริไล ผู้จัดการ ร่วมลงนามบันทึกความเข้าใจเพื่อความร่วมมือทางธุรกิจ (MOU) หน่วยงานรัฐกับหน่วยงานรัฐ (G To G) ภายใต้ “โครงการคู่ความร่วมมือของรัฐวิสาหกิจ ด้านการมุ่งเน้นผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย” เพื่อยกระดับและพัฒนาผลการดำเนินงานหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ ตามแนวทางของสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) โดยพิธีลงนามจัดขึ้นเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2568 ณ ห้องประชุมแก้ววิเชียร ชั้น 11 อาคาร SME Bank Tower
นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานกรรมการ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) กล่าวว่า ตามที่สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) กำหนดหลักเกณฑ์การประเมินกระบวนการและการจัดการ (Core Business Enablers) ของหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ ซึ่งประกอบด้วยตัวชี้วัด 8 ด้าน ได้แก่ 1. การกำกับดูแลที่ดีและการนำองค์กร 2. การวางแผนเชิงยุทธศาสตร์ 3. การบริหารความเสี่ยงและการควบคุมภายใน 4. การมุ่งเน้นผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และลูกค้า 5. การพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัล 6. การบริหารทุนมนุษย์ 7. การจัดการความรู้และนวัตกรรม และ 8. การตรวจสอบภายใน สำหรับให้หน่วยงานรัฐวิสาหกิจทุกแห่ง ใช้เป็นแนวทางยกระดับและพัฒนาองค์กร อันจะนำไปสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน
ทั้งนี้ รัฐวิสาหกิจ ถือเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนนโยบายต่าง ๆ ของรัฐบาล ดังนั้น ความร่วมมือระหว่างสถาบันการเงินของรัฐ ได้แก่ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) กับ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงการคลัง ใน “โครงการคู่ความร่วมมือของรัฐวิสาหกิจ ด้านการมุ่งเน้นผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย” จึงเป็นตัวอย่างที่ดีของความร่วมมือระหว่างหน่วยงานรัฐวิสาหกิจด้วยกันเอง ที่จะช่วยพัฒนาและยกระดับการปฏิบัติงานตามแนวทาง Core Business Enablers ก่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และพัฒนาอย่างรวดเร็ว และรอบด้าน โดยเฉพาะด้านการคำนึงถึงผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่ม ที่ทั้งสองหน่วยงาน ซึ่งเป็นสถาบันการเงินของรัฐ มีความมุ่งมั่นจะสร้างโอกาสและสร้างความเท่าเทียมในการเข้าถึงแหล่งทุนให้แก่กลุ่มเกษตรกร ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี และประชาชน ซึ่งจะขยายผล ส่งต่อคุณประโยชน์ ทำให้เกษตรกรไม่เพียงแต่เป็นผู้ผลิตต้นน้ำ แต่ยังสามารถก้าวสู่การเป็นผู้ประกอบการที่มีศักยภาพ พร้อมแข่งขันได้ในระดับสูงขึ้น รวมถึงต่อยอดสู่การเป็นธุรกิจเอสเอ็มอีที่เข้มแข็ง สร้างรากฐานการพัฒนาที่เข้มแข็ง นำไปสู่การเติบโตของเศรษฐกิจไทยอย่างยั่งยืน
นายเดชา จาตุธนานันท์ หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ในฐานะประธานกรรมการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจ
ขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank กล่าวว่า ความร่วมมือดังกล่าว จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการ ตลอดจนเกิดการพัฒนา แลกเปลี่ยนเรียนรู้ ยกระดับกระบวนการทำงานที่ส่งเสริมกันและกันอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อตอบสนองความต้องการและความคาดหวังให้แก่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ได้แก่ 1. ผู้ถือหุ้น / หน่วยงานกำกับ 2. ลูกค้า 3. พนักงาน 4. คู่ค้า / พันธมิตร / ผู้ส่งมอบ 5. คู่แข่ง / คู่เทียบ และ 6. ชุมชน สังคม สิ่งแวดล้อม โดยการประสานความร่วมมือครั้งนี้ไม่เพียงช่วยยกระดับมาตรฐานการทำงานของทั้ง 2 องค์กร แต่ยังช่วยสร้างคุณค่ายั่งยืนให้แก่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่ม โดยเฉพาะการส่งเสริมและสนับสนุนผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ผ่านกระบวนการ “พัฒนาคู่เติมทุน” เพิ่มประสิทธิภาพธุรกิจ ก้าวข้ามทุกวิกฤตได้อย่างมั่นคง
สำหรับความร่วมมือ “โครงการคู่ความร่วมมือของรัฐวิสาหกิจ ด้านการมุ่งเน้นผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย” จะช่วยยกระดับเพิ่มประสิทธิภาพของแต่ละหน่วยงาน ได้แก่ SME D Bank การยางแห่งประเทศไทย (กยท.) และองค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ส.ค.) โดย ธ.ก.ส. พร้อมเป็นที่ปรึกษาในการสนับสนุนองค์ความรู้ เครื่องมือ แลกเปลี่ยนประสบการณ์จากการดำเนินงาน รวมถึงส่วนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อสร้างเครือข่ายการทำงานที่เข้มแข็งไปสู่การยกระดับประสิทธิภาพการทำงานของรัฐวิสาหกิจไทยให้มีความทันสมัย โปร่งใส และตอบสนองต่อความต้องการของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่มอย่างเท่าเทียม