‘การรถไฟ-การท่าเรือ‘ ผนึกกำลังเพิ่มขีดความสามารถขนส่งตู้สินค้าทางรถไฟ วางเป้าแตะ 2 ล้านทีอียู ภายใน 10 ปี

รฟท. จับมือ กทท. MOU พัฒนา-เพิ่มขีดความสามารถระบบขนส่งตู้สินค้าทางรถไฟ ด้าน กทท. ลุยจัดซื้อเครื่องจักรขนสินค้า 900 ล้านบาท หวังเพิ่มประสิทธิภาพการขนส่งสินค้าในอนาคต ตั้งเป้าขนส่งตู้สินค้าพุ่ง 2 ล้านทีอียูภายใน 10 ปี ฟาก รฟท. จ่อเพิ่มแคร่รถไฟ-ขบวนรถไฟ พร้อมเร่งชง ครม. ไฟเขียวร่วมทุน PPP “ไอซีดี ลาดกระบัง”

นางมนพร เจริญศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยภายหลังเป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ว่าด้วยความร่วมมือด้านการพัฒนาและเพิ่มขีดความสามารถในการขนส่งตู้สินค้าทางรถไฟ ระหว่างการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) และการท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) วันนี้ (31 กรกฎาคม 2568) ว่า ความร่วมมือในครั้งนี้ เกิดขึ้นจาก รฟท. และ กทท. มีบทบาทสำคัญในการให้บริการด้านโลจิสติกส์ของประเทศ ทั้งในรูปแบบขนส่งทางราง และทางน้ำ จึงต้องเร่งพัฒนาและเพิ่มขีดความสามารถในการขนส่งตู้สินค้าทางรถไฟ ซึ่งมีข้อได้เปรียบในแง่ต้นทุนพลังงานที่ต่ำ ความปลอดภัยสูง และผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยกว่าระบบขนส่งรูปแบบอื่น อีกทั้งยังสอดคล้องกับนโยบายการขนส่งของภาครัฐ ที่มุ่งส่งเสริมการเปลี่ยนรูปแบบการขนส่งไปสู่ระบบที่ยั่งยืนมากขึ้น

ด้านนายเกรียงไกร ไชยศิริวงศ์สุข ผู้อำนวยการ กทท. กล่าวว่า ความร่วมมือในครั้งนี้ นับเป็นก้าวสำคัญของการพัฒนาระบบขนส่งสินค้าทางรางของไทย โดยบันทึกความเข้าใจฉบับดังกล่าว มีผลบังคับใช้เป็นระยะเวลา 10 ปี พร้อมกำหนดเป้าหมายรายปีอย่างชัดเจน มีระบบติดตามและประเมินผลอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้การดำเนินงานบรรลุผลสัมฤทธิ์สูงสุด ทั้งในระดับองค์กร ผู้ประกอบการ และประชาชนในภาพรวม

ทั้งนี้ รฟท. และ กทท. มีการขนส่งสินค้าเชื่อมโยงระหว่างกันตั้งแต่ปี 2538 จากการขนส่งสินค้าผ่านสถานีบรรจุและแยกสินค้าลาดกระบัง (ICD ลาดกระบัง) ซึ่งปัจจุบันท่าเรือแหลมฉบัง (ทลฉ.) มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการยกขนตู้สินค้าทางรถไฟด้วยโครงการศูนย์การขนส่งตู้สินค้าทางรถไฟ (SRTO) ที่มีปริมาณการขนส่งตู้สินค้าทางรถไฟมากกว่า 5 แสนทีอียูต่อปี และมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยตั้งเป้าขยายปริมาณการขนส่งตู้สินค้า จำนวน 1 ล้านทีอียูต่อปีภายในระยะเวลา 3 ปี และสูงถึง 2 ล้านทีอียูต่อปี ภายในระยะเวลา 10 ปี

สำหรับความร่วมมือฯ ครอบคลุมถึงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านโลจิสติกส์ และการปรับรูปแบบการดำเนินธุรกิจให้สอดรับกับแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมขนส่ง ตลอดจนการดำเนินงานภายใต้หลักความรับผิดชอบต่อสังคม เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ประกอบการ และสร้างความเชื่อมั่นในระบบขนส่งทางรางให้เป็นทางเลือกหลักของประเทศในอนาคต โดยจะช่วยลดภาระการขนส่งทางถนน และผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการขนส่งสินค้าทางรางในระดับภูมิภาค ยกระดับประสิทธิภาพการขนส่งสินค้า ลดความหนาแน่นบนเส้นทางคมนาคม ช่วยลดต้นทุนการขนส่ง เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และสร้างความมั่นใจให้กับผู้ประกอบการด้านโลจิสติกส์

นายเกรียงไกร กล่าวต่อว่า ในส่วนของแนวทางความร่วมมือการพัฒนา และเพิ่มศักยภาพการขนส่งตู้สินค้าทางรถไฟ เพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมาย 2 ล้านทีอียูต่อปี ภายในระยะเวลา 10 ปี นั้น กทท. มีแผนในการสร้างโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะการเชื่อมต่อระบบราง พร้อมทั้งลงทุนติดตั้งเครื่องจักรอุปกรณ์ยกขนสินค้า (RMG) ในโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 มูลค่ากว่า 900 ล้านบาท เพื่อรองรับการขนส่งตู้สินค้าได้มากขึ้น อย่างมีประสิทธิภาพ

ขณะที่ นายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการ รฟท. กล่าวว่า การลงนามความร่วมมือในครั้งนี้ เป็นการสนับสนุนนโยบายของรัฐบาลที่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางราง เพื่อเชื่อมโยงกับฐานการผลิตทั้งภาคอุตสาหกรรมและการเกษตรทั่วประเทศ มุ่งเน้นให้เกิดการเปลี่ยนผ่านจากการขนส่งทางถนนไปสู่ระบบรางที่มีศักยภาพในการรองรับปริมาณการขนส่งได้มากกว่า ใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ และลดการปล่อยมลพิษ เพื่อร่วมกันยกระดับศักยภาพระบบโลจิสติกส์ของประเทศให้ทันสมัยและยั่งยืน โดยมุ่งส่งเสริมการขนส่งที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ลดการใช้พลังงาน และบรรเทาความแออัดของการจราจรบนท้องถนน

“การเปลี่ยนรูปแบบการขนส่งจากถนนไปสู่ระบบรางและทางน้ำมีต้นทุนต่ำกว่า และสามารถตอบโจทย์การพัฒนาเศรษฐกิจในระยะยาวได้อย่างมีประสิทธิภาพ ความร่วมมือครั้งนี้จะใช้โครงข่ายระบบรางเป็นกลไกหลัก โดยเฉพาะเส้นทางเชื่อมต่อกับท่าเรือแหลมฉบัง ซึ่งเป็นศูนย์กลางการขนส่งสินค้าทางทะเลของประเทศ รวมถึงการส่งเสริมการใช้บริการขนส่งทางรางผ่านท่าเรือระนอง ซึ่งมีบทบาทสำคัญในภูมิภาคอันดามันด้วย” นายวีริศ กล่าว

นายวีริศ กล่าวอีกว่า สำหรับแนวทางความร่วมมือการพัฒนา และเพิ่มศักยภาพการขนส่งตู้สินค้าทางรถไฟ เพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายนั้น รฟท. มีแผนจะเพิ่มจำนวนแคร่รถไฟจาก 32 แคร่ เพิ่มเป็น 35 แคร่ ซึ่งสามารถรองรับจำนวนตู้ขนส่งสินค้าเพิ่มได้อีก 5-6 หมื่นทีอียูต่อปี อีกทั้ง เพิ่มขบวนรถไฟจาก 24 ขบวน เพิ่มเป็น 26-28-30 ขบวนตามลำดับ ขณะเดียวกัน รฟท. ยังมีแผนการจัดซื้อแคร่ขนส่งสินค้าอีก 946 แคร่  โดยเตรียมจะเสนอเข้าที่ประชุม ครม. เห็นชอบเร็วๆ นี้ ซึ่งจะช่วยให้การขนส่งสินค้ามีประสิทธิภาพมากขึ้น

นอกจากนี้ รฟท. เตรียมสรรหาเอกชนเพื่อร่วมลงทุนเป็นผู้ประกอบการสถานีบรรจุและแยกสินค้ากล่อง (ไอซีดี) ลาดกระบัง ตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งขณะนี้ รฟท. ได้ส่งเรื่องไปยังกระทรวงคมนาคมแล้ว คาดว่า จะเสนอไปยังสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) ภายใน 1-2 สัปดาห์ จากนั้นจะเสนอต่อ ครม. พิจารณาต่อไป อย่างไรก็ตาม หาก รฟท. มีการลงนามสัญญากับเอกชนในโครงการไอซีดี ลาดกระบังแล้ว ตามสัญญาฉบับใหม่ ได้กำหนดสัดส่วนการขนส่งรถไฟต้องไม่น้อยกว่า 50% ภายใน 1 ปีจากเดิมที่กำหนดให้สัดส่วนการขนส่งรถไฟอยู่ที่ 40%