“ยูดี ทรัคส์ ประเทศไทย” ชูแนวคิด “Better Life” เดินหน้ารุกตลาดครึ่งปีหลัง พร้อมเปิดรับนักลงทุนขยายเครือข่ายศูนย์บริการครอบคลุมทั่วประเทศ

ยูดี ทรัคส์ คอร์ปอเรชัน ประเทศไทย ร่วมฉลองวาระ ยูดี ทรัคส์ ครบรอบ 90 ปีขององค์กร พร้อมประกาศวิสัยทัศน์ “Better Life” ที่มุ่งมั่นพัฒนาเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของผู้คน และสิ่งแวดล้อม ผ่านโซลูชันภายใต้แนวคิด การขนส่งที่ยั่งยืน โดยมุ่งมั่นพัฒนาเน้นกลยุทธ์หลักด้านผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม บริการหลังการขายที่แข็งแกร่ง การขยายเครือข่าย และการสร้างความพึงพอใจให้แก่ลูกค้าอย่างต่อเนื่อง

 

นางสาววิลาวัลย์ วิศปาแพ้ว กรรมการผู้จัดการ บริษัท ยูดี ทรัคส์ คอร์ปอเรชั่น (ประเทศไทย) จำกัดเปิดเผยว่า “ยูดี ทรัคส์ เริ่มต้นในประเทศญี่ปุ่น ในปี พ.ศ. 2478 ดำเนินธุรกิจเพื่อการขนส่งมาจนครบรอบ 90 ปีในวันนี้ และเติบโตจนมีฐานการดำเนินธุรกิจกว่า 59 ประเทศทั่วโลก ด้วยนโยบายหลักขององค์กรที่เน้นวิสัยทัศน์ “Better Life” โดยมุ่งมั่นพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของผู้คนและสิ่งแวดล้อม ภายใต้แนวคิด “โซลูชันการขนส่งที่ยั่งยืน” ทำให้บริษัทเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมที่สำคัญ อาทิ การพัฒนาเครื่องยนต์ UD อันโด่งดัง การเปิดตัวเกียร์อัตโนมัติ ESCOT และที่สำคัญคือการเป็นบริษัทแรกของโลกที่ติดตั้งระบบบำบัดไอเสีย SCR (Selective Catalytic Reduction) ในรถบรรทุก ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2547 ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นของมาตรฐาน Euro 5  ด้านสิ่งแวดล้อม”

ชูแนวคิด “Better Life” เพื่อคน เพื่อโลก เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน

ยูดี ทรัคส์ ทั่วโลก พร้อมใจประกาศเจตนารมณ์ในการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนด้วยแนวคิด “Better Life” ครอบคลุม 3 แกนหลัก ได้แก่

1. Better for Growth: ระบบเทคโนโลยีในฟีเจอร์รถบรรทุก และงานบริการ เช่นระบบ UD Connected และ Volvo I-See และอื่น ๆ พร้อมแผนเพิ่มพันธมิตรขยายศูนย์บริการเสริมแกร่งด้านบริการ ดูแลลูกค้าอย่างใกล้ชิด

2. Better for the Planet: ส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่ผ่านมาตรฐาน Euro 5 ทั้งแบรนด์ UD และ Volvo พร้อมใช้พลังงานสะอาด และยังคงเดินหน้าทดสอบรถพลังงานทางเลือกที่ ยูดี ทรัคส์ คอร์ปอเรชั่น ประเทศญี่ปุ่น

3. Better for People: จัดกิจกรรม CSR อย่างต่อเนื่อง อาทิ โครงการให้ความรู้เรื่องความปลอดภัยในการใช้ถนนร่วมกับรถบรรทุก และโครงการตรวจสุขภาพสายตาสำหรับพนักงานขับรถ และอื่น ๆ

 

ยูดี ทรัคส์ คอร์ปอเรชั่น (ประเทศไทย) เดินหน้าฝ่าวิกฤติเศรษฐกิจ รักษาส่วนแบ่งตลาด 10%

นางสาววิลาวัลย์ เปิดเผยว่า “แม้ปี 2567 ประเทศไทยจะเผชิญกับความท้าทายจากปัจจัยทางเศรษฐกิจโลกและภายในประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการชะลอตัวของ GDP ส่งผลให้ตลาดรวมรถบรรทุกในประเทศไทยหดตัวลงกว่า 30% แต่ยูดี ทรัคส์ ยังคงรักษาส่วนแบ่งตลาดในกลุ่มตลาดรถบรรทุกขนาดใหญ่ ได้ถึง 9% และเมื่อรวมกับวอลโว่ ทรัคส์ อีก 1% ทำให้บริษัทสามารถครอง Market Share รวมถึง 10% ของตลาด

ปีที่ผ่านมา ยูดี ทรัคส์เป็นแบรนด์รถบรรทุกแบรนด์แรกในไทยที่พร้อมเปิดตัว Euro 5 ที่มาพร้อมด้วยระบบเทคโนโลยีบำบัดไอเสีย SCR ในทุกรุ่นรถเพื่อให้ครอบคลุมทุกความต้องการของลูกค้า รวมทั้งยังสามารถส่งมอบรถฟลีทใหญ่ให้แก่ลูกค้ารายสำคัญระดับประเทศ และขยายเครือข่ายตัวแทนจำหน่ายเพิ่มอีก 3 แห่ง เป็น 25 สาขาทั่วประเทศ นอกจากนี้ เราปรับตัวอย่างหนัก เพื่อรองรับภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ด้วยการเปิดตัวโปรโมชั่นไฟแนนซ์เจ้าแรกในอุตสาหกรรมรถบรรทุกไทย ที่สามารถผ่อนได้ยาวนานถึง 96 เดือน”

นางสาววิลาวัลย์กล่าวต่ออีกว่า “สำหรับผลประกอบการด้านงานบริการและอะไหล่ เติบโตถึง 5% และสัญญาบริการเติบโต 7% และเพิ่มสัญญาในการใช้ระบบ Telematics อีก 15% ซึ่งเป็นผลลัพธ์จากความมั่นใจในตัว      แบรนด์สินค้าและการบริการที่เพิ่มขึ้น เพื่อช่วยให้ลูกค้าสามารถติดตามและจัดการการทำงานของรถบรรทุกได้อย่างมีประสิทธิภาพ สอดคล้องกับผลสำรวจภายในที่พบว่า คะแนนของแบรนด์ ยูดี ทรัคส์ และวอลโว่ ทรัคส์ ดีขึ้นในปีที่ผ่านมาเช่นกัน”

แผนธุรกิจครึ่งปีหลัง 2568: เดินหน้าเต็มกำลังสู่อนาคตเพื่อสนับสนุนลูกค้าและสร้างเครือข่ายที่แข็งแกร่ง

ยูดี ทรัคส์ คอร์ปอเรชั่น (ประเทศไทย) หวังก้าวสู่ผู้นำด้านความยั่งยืนในตลาดรถบรรทุกของไทย โดยจะมุ่งเน้นการตั้งเป้าเติบโตทั้งยอดขายรถใหม่และบริการหลังการขาย ด้วยการขยายเครือข่ายดีลเลอร์ให้ครอบคลุมทั่วประเทศ ภายใต้แนวนโยบายการขยายเครือข่ายดีลเลอร์ของยูดี ทรัคส์ โดยยูดี ทรัคส์ เปิดกว้างกับนักลงทุนที่สนใจร่วมเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับยูดี ทรัคส์ เปิดศูนย์บริการ โดยมีพื้นที่เป้าหมายสำหรับดีลเลอร์ใหม่ในเขตจังหวัดลพบุรี กำแพงเพชร ราชบุรี เพชรบุรี บุรีรัมย์ มหาสารคามและจังหวัดเลย ทั้งนี้เพื่อยกระดับความพึงพอใจของลูกค้า สร้างภาพลักษณ์แบรนด์ให้แข็งแกร่งขึ้น

ในปีนี้ต้องเผชิญกับความท้าทายหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็น 1.ความท้าทายด้านการขนส่งที่ต้องเป็น  Green Logistics มากขึ้น 2.การขาดแคนพนักงานขับรถที่มีคุณภาพ 3.ต้นทุนการขนส่งที่เพิ่มขึ้น และ 4.ความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงิน

“แม้ว่าตลาดจะเผชิญกับความท้าทายมากมายเหล่านี้  แต่เรามีผลิตภัณฑ์คุณภาพสูง เทคโนโลยีที่ล้ำสมัย ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และการบริการที่ครอบคลุม รวมทั้งการให้บริการด้านไฟแนนซ์ที่เปิดให้ลูกค้าผ่อนในระยะยาวได้ สิ่งเหล่านี้สามารถตอบโจทย์ลูกค้าได้ฝ่าความท้าท้ายทุกเรื่อง  และด้วยพันธกิจ Better Life ที่เรายึดมั่น เราเชื่อว่าการขนส่งที่ยั่งยืน คือกุญแจสำคัญของอนาคต” นางสาววิลาวัลย์กล่าวและทิ้งท้ายว่าเป้าหมายใน 5 ปีข้างหน้า บริษัทต้องการเป็นผู้นำธุรกิจการขนส่งที่ยั่งยืน โดยจะพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้รักษาสิ่งแวดล้อมมากขึ้น , ส่งเสริมเรื่องการขับขี่ปลอดภัย และเตรียมพร้อมสู่การเป็นกลางทางคาร์บอนในปี 2050