บอร์ด AOT สั่งลุยตั้งคณะทำงานแก้ปม ‘คิง เพาเวอร์’ เร่งหาที่ปรึกษาศึกษาเสร็จภายใน ส.ค.นี้ ยันฐานะการเงินแข็งแกร่ง
AOT เดินหน้าแก้ปมร้อน หลัง “คิง เพาเวอร์” ยื่นหนังสือขอหารือแนวทางการยกเลิกสัญญา ด้านบอร์ดฯ เร่งรัดให้ดำเนินการ แต่งตั้งคณะทำงานพิจารณากลั่นกรองทางเลือก พร้อมจ้างที่ปรึกษา “ 2 สถาบันการศึกษา” ศึกษาจบภายใน ส.ค.นี้
นางสาวปวีณา จริยฐิติพงศ์ รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ สายงานวิศวกรรมและการก่อสร้าง รักษาการตำแหน่งผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT เปิดเผยว่า ในการประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด) AOT ครั้งที่ 8/2568 เมื่อวันที่ 16 มิ.ย. 2568 ที่ผ่านมา ซึ่งมีนายอภิรัฐ ไชยวงศ์น้อย ประธานกรรมการ AOT เป็นประธานที่ประชุมได้เร่งรัดให้ดำเนินการแต่งตั้งคณะทำงานพิจารณากลั่นกรองทางเลือกในการแก้ไขปัญหาการประกอบกิจการจำหน่ายสินค้าปลอดอากร ณ ท่าอากาศยานที่อยู่ในความรับผิดชอบของ AOT
นอกจากนี้ เร่งจ้างที่ปรึกษาจากสถาบันอุดมศึกษาของรัฐ ภายใน 2 สัปดาห์นี้ เพื่อศึกษาทางเลือกในการแก้ไขปัญหาการประกอบกิจการจำหน่ายสินค้าปลอดอากรในท่าอากาศยานที่อยู่ในความรับผิดชอบของ AOT โดยเร็ว โดยที่ปรึกษาจะศึกษาประเด็นด้านกฎหมาย เศรษฐศาสตร์ การเงิน และการบริหารธุรกิจ เพื่อวิเคราะห์ข้อจำกัดของสัญญาเดิม รวมถึงเสนอแนวทางที่เหมาะสมและเป็นธรรมต่อทุกฝ่าย โดยคาดว่าจะได้ข้อสรุปภายใน 60 วัน หรือภายใน ส.ค. 2568 ก่อนเสนอต่อคณะกรรมการฯ เพื่อพิจารณาต่อไป
ทั้งนี้ ในวันนี้ (17 มิ.ย. 2568) AOT ได้หารือร่วมกับ บริษัท คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี จำกัด (KPD) เพื่อทำความเข้าใจและรับทราบรายละเอียดในสิ่งที่ทางคิงเพาเวอร์ ต้องการและต้องการแก้ไข เรวมถึงให้เกิดความเป็นธรรมทั้งสองฝ่าย และเจตนารมณ์ที่แท้จริงของหนังสือเพิ่มเติม หลังจาก KPD ส่งหนังสือมายัง AOT 3 ฉบับ ใน 3 สัญญา คือ สนามบินสุวรรณภูมิ สนามบินดอนเมือง และสนามบินภูมิภาค
สำหรับหนังสือดังกล่าว KPD ได้ระบุเหตุผลหลัก 7 ประการ ได้แก่ การยุติการดำเนินการร้านค้าปลอดภาษีขาเข้า ตามนโยบายภาครัฐ, การลดภาษีสินค้าประเภท Y (แอลกอฮอล์) ทำให้ยอดขายลดลงอย่างต่อเนื่อง, การขอคืนพื้นที่ประกอบกิจการของ ทอท. เพื่อปรับปรุงบริการผู้โดยสาร, มาตรการเชิงรุกของรัฐที่ทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวจีนลดลง, สถานการณ์ภายในประเทศไทยที่ส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว, การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และสถานการณ์สงครามและความชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ซึ่งส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อและการเดินทางระหว่างประเทศ
ทั้งนี้ KPD ชี้ว่า ทอท. วิเคราะห์สถานการณ์เหล่านี้ในมุมมองของตนเองฝ่ายเดียว โดยไม่คำนึงถึงบริบทที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างแท้จริง ทำให้ KPD รู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมจากสัญญาที่ได้ตกลงกันไว้ตั้งแต่แรก และต้องการให้ ทอท. วิเคราะห์และเจรจาเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมในระยะยาว อย่างไรก็ตาม ค่าตอบแทนที่ KPD ค้างชำระอยู่นั้น ยังไม่เกินวงเงินค้ำประกัน (Bank Guarantee) ที่ KPD วางไว้เป็นหลักประกันตามหลักเกณฑ์ในสัญญาซึ่งถือเป็นหลักประกันทางการเงินของคู่สัญญาในกรณีเกิดเหตุไม่คาดคิด
นางสาวปวีณา กล่าวต่อว่า แม้ว่า KPD ในตอนนี้ ยังมีปัญหาและทำหนังสือในรายละเอียดของสัญญานั้น ในระหว่างนี้ KPD จะยังคงต้องปฏิบัติตามสัญญาและชำระค่าตอบแทนตามปกติ ซึ่งในส่วนของรายได้ผลประโยชน์ตอบแทนที่ AOT ได้รับจาก KPD ถือเป็น สัดส่วน 17% หรือประมาณ 10,710 ล้านบาทจากสัดส่วนรายได้ทั้งหมดของ ทอท. ที่ 63,000 ล้านบาท (ข้อมูลปี 2567) ขณะที่ ทอท. ยังคงมีรายได้ส่วนอื่นๆอีก 83% โดยที่ผ่านมา AOT มีสัญญาเชิงพาณิชย์อื่นๆ กว่า 1,000 สัญญา ก็มีการเจรจาและปรับเปลี่ยนเงื่อนไขมาโดยตลอดตามบริบทที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งหาก KPD จะขอปรับเปลี่ยนแก้ไขก็ไม่ใช่เป็นเรื่องแปลกและไม่ใช่เป็นเคสแรก
อย่างไรก็ตาม ขอยืนยันว่า บริษัทฯ ยังมีสถานะทางการเงินมั่นคงแข็งแรงและยังมีแผนหารายได้เพิ่มจากแหล่งอื่นๆ เช่น รายได้จากค่าใช้บริการระบบไฟฟ้า 400 Hz ระบบปรับอากาศ PC AIR โครงการผู้ให้บริการลานจอดและอุปกรณ์ภาคพื้น การให้บริการผู้โดยสารภาคพื้นและกิจการอื่นๆ ที่เกี่ยวเนื่อง ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิของผู้ประกอบการรายที่ 3 และการพัฒนาที่ดินเชิงพาณิชย์โดยรอบท่าอากาศยานทั้ง 6 แห่งของ AOT ที่จะก่อให้เกิดรายได้ที่ไม่เกี่ยวกับกิจการการบิน (Non-Aeronautical Revenue) ซึ่ง AOT ยืนยันว่ายังคงมีสภาพคล่องเพียงพอสำหรับรองรับโครงการลงทุนในอนาคตและการดำเนินงานตามแผนที่วางไว้ โดยไม่ส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพทางการเงินขององค์กร