DHL ประกาศกลยุทธ์ 5 ปี  ‘Strategy 2030’ตอบโจทย์5เมกะเทรนด์ เดินหน้ากรีนโลจิสติกส์ -เน้นไทยศูนย์กลางโลจิสติกส์ภูมิภาค

ดีเอชแอล (DHL) บริษัทโลจิสติกส์ชั้นนำของโลก ประกาศความมุ่งมั่นต่อประเทศไทยผ่านกลยุทธ์ ‘Strategy 2030 – Accelerate Sustainable Growth’ พร้อมโอกาสในการผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางสำคัญของภูมิภาค ขณะที่ธุรกิจจำนวนมากกำลังมุ่งสร้างซัพพลายเชนอันยืดหยุ่นที่สามารถรับมือวิกฤตการณ์และมีประสิทธิภาพในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก

ในประเทศไทย DHL ทั้งสี่หน่วยธุรกิจให้บริการโลจิสติกส์อย่างเต็มรูปแบบ ได้แก่ DHL eCommerce, DHL Express, DHL Global Forwarding และ DHL Supply Chain  ช่วยให้ภาคธุรกิจไทยสามารถเข้าถึงเครือข่ายและโซลูชันระดับโลกของ DHL ในฐานะพันธมิตรโลจิสติกส์ที่ให้บริการแบบครบวงจร กลยุทธ์ ‘Strategy 2030’ ของ DHL มุ่งตอบสนองต่อ 5 เมกะเทรนด์สำคัญที่กำลังเปลี่ยนภูมิทัศน์ทางเศรษฐกิจของไทย ได้แก่ การค้าโลก อีคอมเมิร์ซ ความยั่งยืน การเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล และการพัฒนาของแรงงาน

In October 2023, DHL flew three manatees in the U.S. more than 1,000 miles from Cincinnati in Ohio, U.S., to Orlando in the state of Florida.

แม้ว่าการเปลี่ยนแปลงในภาคอุตสาหกรรมเหล่านี้จะนำมาซึ่งความท้าทายใหม่ๆ แต่ด้วยการดำเนินงานที่แข็งแกร่งและเครือข่ายที่ครอบคลุมทั่วโลกของ DHL ทำให้บริษัทสามารถคว้าโอกาสสำคัญในการทำให้ธุรกิจเติบโต นอกเหนือจากเมกะเทรนด์ดังกล่าว DHL ยังมองเห็นโอกาสในการเติบโตของประเทศไทยที่สำคัญดังต่อไปนี้:

ปัจจัยเกื้อหนุนจากการกระจายฐานการผลิต

DHL จะต่อยอดจากเครือข่ายระดับโลกอันแข็งแกร่งและความเชี่ยวชาญในท้องถิ่น เพื่อใช้ประโยชน์จากปัจจัยเกื้อหนุนจากการกระจายฐานการผลิต ซึ่งนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงของเส้นทางการค้าที่เติบโต การปรับตัวของซัพพลายเชนทั่วโลกให้สนับ และความต้องการของธุรกิจที่เติบโตอย่างรวดเร็วทั่วโลก

แม้ว่าเวียดนามและอินโดนีเซียจะได้รับความสนใจเป็นอย่างมากในด้านการกระจายฐานการผลิตเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพด้านซัพพลายเชน แต่ศักยภาพการผลิตที่แข็งแกร่งของไทยในภาคยานยนต์และอิเล็กทรอนิกส์ได้สร้างความได้เปรียบให้กับประเทศ กระทรวงพาณิชย์รายงานว่าการส่งออกของไทยเติบโตถึง 5.4% ตลอดปี 2567 ซึ่งนับเป็นยอดส่งออกที่สูงที่สุดในประวัติศาสตร์เศรษฐกิจของประเทศ ตลาดสำคัญอย่างสหรัฐอเมริกา จีน ญี่ปุ่น และสหภาพยุโรปเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของการเติบโต โดยสหราชอาณาจักรกำลังก้าวขึ้นมาเป็นตลาดที่มีศักยภาพสูงสำหรับภาคธุรกิจไทย

พลังงานใหม่

การเปลี่ยนแปลงในภาคพลังงานหมุนเวียนและอุตสาหกรรมยานยนต์จำเป็นต้องมีโซลูชันโลจิสติกส์เฉพาะทาง ซึ่ง DHL มองเห็นโอกาสสำหรับประเทศไทยในฐานะศูนย์กลางการผลิตยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากนโยบายภาครัฐในการดึงดูดผู้ผลิตจากต่างประเทศให้เข้ามาตั้งฐานการผลิตในประเทศ โซลูชันที่ครอบคลุมซัพพลายเชนด้านยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ของ DHL จะช่วยสนับสนุนให้ประเทศไทยบรรลุเป้าหมายการผลิตยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ได้ถึง 30% ของปริมาณการผลิตยานยนต์ทั้งหมดภายในปี 2573

อีคอมเมิร์ซ

ภาคอีคอมเมิร์ซของประเทศไทยกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยสมาคมผู้ประกอบการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ไทย (Thailand E-commerce Association) คาดการณ์ว่ามูลค่าตลาดจะเติบโตจาก 26,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2566 เป็น 32,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ภายในปี 2568 ซึ่งสะท้อนอัตราการเติบโตที่ประมาณ 21% ในช่วงสองปี เทียบเป็นอัตราเติบโตเฉลี่ยต่อปีแบบทบต้น (CAGR) ที่ประมาณ 10% อีกทั้ง DHL ยังมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนภาคธุรกิจ SME ที่เติบโตของไทย ซึ่งประกอบด้วยผู้ประกอบการกว่า 3.2 ล้านราย และมีส่วนสำคัญในการสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ คิดเป็น GDP ถึง 35%

ความสำเร็จของแบรนด์อย่าง Gentlewoman และ Fairtex แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของแบรนด์ไทยในการใช้ประโยชน์จากโซลูชันโลจิสติกส์แบบครบวงจรของ DHL เพื่อขยายธุรกิจสู่ตลาดต่างประเทศ การผสานเครือข่ายระดับโลกของ DHL เข้ากับความเชี่ยวชาญในท้องถิ่น เสริมสร้างขีดความสามารถให้ธุรกิจไทยแข่งขันได้อย่างมีประสิทธิภาพในตลาดระดับสากล

โครงการสำคัญอย่าง GoTrade ของ DHL ได้พัฒนาศักยภาพให้แก่ผู้ประกอบการ SME กว่า 9,000 รายทั่วโลก สำหรับประเทศไทย DHL Express ได้พัฒนาโครงการนี้ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐที่สำคัญ อาทิ กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) และสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (OSMEP) เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการไทยก้าวสู่โอกาสทางการค้าระหว่างประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ

นอกเหนือจากการสนับสนุนด้านการค้าระหว่างประเทศแล้ว DHL ยังมีบทบาทสำคัญในการเสริมศักยภาพให้กับผู้ประกอบการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (e-retailers) ธุรกิจ SME และแบรนด์ต่างๆ ในการขยายตลาดภายในประเทศไทย ผ่านบริการขนส่งที่น่าเชื่อถือ มีมาตรฐาน คุณภาพสูง ในราคาที่คุ้มค่าของ DHL eCommerce   ความมุ่งมั่นในการให้บริการที่เป็นเลิศของ DHL ทำให้มั่นใจได้ว่าธุรกิจทุกขนาดและทุกภาคส่วนจะสามารถเติบโตและประสบความสำเร็จในสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่มีการแข่งขันสูงและขับเคลื่อนด้วยดิจิทัลมากขึ้น

 

อย่างไรก็ตาม DHL แสดงให้เห็นถึงพันธกิจระยะยาวที่มีต่อประเทศไทยผ่านเครือข่ายการดำเนินงานที่ครอบคลุม และการลงทุนอย่างต่อเนื่องในโครงสร้างพื้นฐานและการพัฒนาศักยภาพบุคลากร ปัจจุบัน DHL มีบุคลากรรวมกว่า 9,300 คน จากทั้งสี่หน่วยธุรกิจที่ให้บริการในประเทศไทย ด้วยเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิให้เป็นศูนย์ภายในปี 2593 DHL แสดงความมุ่งมั่นด้านความยั่งยืนในประเทศไทยผ่านโครงการริเริ่มที่ครอบคลุมทั้ง 4 หน่วยธุรกิจ โดยทุกหน่วยธุรกิจได้นำยานยนต์ไฟฟ้า (EV) มาใช้ในการดำเนินงานของตน

 

นาย เกียรติชัย พิตรปรีชา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร DHL eCommerce เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าวว่า “ภาคอีคอมเมิร์ซของไทยยังมีแนวโน้มการเจริญเติบโตที่ดี DHL มีบทบาทสำคัญในการกำหนดทิศทางอนาคตของอุตสาหกรรมนี้ ผ่านการยกระดับมาตรฐานคุณภาพการขนส่งให้ดียิ่งขึ้นและการขับเคลื่อนนวัตกรรมดิจิทัล ด้วยการผสานเครือข่ายการจัดส่งที่ครอบคลุมทั่วประเทศเข้ากับเทคโนโลยีล้ำสมัยและโซลูชันด้านโลจิสติกส์ที่ยั่งยืน เราสามารถส่งเสริมศักยภาพให้ธุรกิจไทยทุกขนาดและทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นลูกค้าองค์กรหรือบุคคลทั่วไป ให้เติบโตได้อย่างแข็งแกร่งในเศรษฐกิจดิจิทัล

DHL eCommerce มีเครือข่ายการจัดส่งครอบคลุมทั่วประเทศอย่างกว้างขวาง ประกอบด้วยศูนย์กระจายสินค้าปลายทาง 151 แห่ง ยานพาหนะกว่า 2,000 คัน และจุดให้บริการกว่า 230 แห่ง ทำให้สามารถให้บริการได้อย่างทั่วถึง พร้อมทั้งบริการจัดส่งถึงมือผู้รับภายในวันถัดไปสูงถึง 97% ของพื้นที่ทั่วประเทศ ด้วยความมุ่งมั่นในการพัฒนานวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง DHL eCommerce ลงทุนในโซลูชันที่ทันสมัยเพื่อยกระดับคุณภาพการบริการที่แตกต่างให้แก่ผู้ประกอบการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (e-retailers) ธุรกิจ SME แบรนด์ต่างๆ และลูกค้าองค์กร โดยมีแผนปรับปรุงศูนย์กระจายสินค้าครั้งใหญ่ในปี 2569 เพื่อเสริมสร้างศักยภาพให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ นDHL eCommerce ได้นำ EV มาใช้ในเส้นทางรับส่งระหว่างศูนย์กระจายสินค้าในกรุงเทพฯ และพื้นที่เขตเมือง ทั้งนี้ บริษัทมีแผนที่จะนำรถบรรทุกไฟฟ้าสำหรับการขนส่งระยะสั้นมาใช้ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2568 นอกจากนี้ยังตั้งเป้าหมายที่จะปรับเปลี่ยนยานพาหนะขนส่งปลายทางในกรุงเทพฯ ให้เป็น EV จำนวน 50% ภายในระยะเวลาสองปี

นายเฮอร์เบิต วงศ์ภูษณชัย กรรมการผู้จัดการ DHL Express ประเทศไทย และหัวหน้าภาคพื้นอินโดจีน กล่าวว่า “เครือข่ายของเราที่ครอบคลุม 220 ประเทศ พร้อมด้วยโครงสร้างพื้นฐานทางอากาศและภาคพื้นดินส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางสำคัญของการค้าโลก เราช่วยเพิ่มศักยภาพธุรกิจทุกขนาดในประเทศไทยให้ได้รับประโยชน์สูงสุดจากโอกาสธุรกิจที่มีทั่วโลก และส่งเสริมอนาคตที่ยั่งยืนผ่านโซลูชันที่เชื่อถือได้และมีประสิทธิภาพ เช่น บริการ GoGreen Plus เราพร้อมเชื่อมต่อประเทศไทยกับทั่วโลกและเปิดตลาดใหม่ให้แก่ธุรกิจไทย”

DHL Express บริหารเครือข่ายการบินและภาคพื้นดินที่แข็งแกร่ง ประกอบด้วยศูนย์กระจายสินค้าระดับภูมิภาค (regional hub) ที่สนามบินสุวรรณภูมิ ศูนย์บริการ 15 แห่ง และจุดให้บริการทั้งที่เป็นเจ้าของเองและผ่านพันธมิตร 131 แห่ง ทั้งหมดนี้รองรับการจัดส่งด่วนระหว่างประเทศแบบถึงมือผู้รับ มีเครื่องบินขนส่งสินค้าระหว่างประเทศให้บริการ 85 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ โดยศูนย์บริการทั้งหมด 100% ติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์เพื่อผลิตพลังงานหมุนเวียน

DHL Express Thailand เป็นผู้บุกเบิกในฐานะผู้ให้บริการโลจิสติกส์ด่วนระหว่างประเทศรายแรกที่นำจักรยานยนต์ไฟฟ้าและ EV มาใช้ในประเทศไทย บริษัทสามารถปรับเปลี่ยนยานพาหนะเป็น EV ได้ 21% คิดเป็น EV มากกว่า 50 คัน ซึ่งใช้ในการเข้ารับและจัดส่งสินค้า นอกจากนี้ DHL Express ยังสนับสนุนให้ลูกค้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในขอบเขตที่ 3 ผ่านการใช้เชื้อเพลิงการบินที่ยั่งยืน (SAF) ผ่านบริการ GoGreen Plus

 

นายวินเซนต์ ยอง กรรมการผู้จัดการ DHL Global Forwarding ประเทศไทย กล่าวว่า “การเปิดตัวศูนย์ DHL International Multimodal Hub ที่สนามบินสุวรรณภูมิเมื่อไม่นานมานี้ ถือเป็นก้าวสำคัญในการเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์ด้านโลจิสติกส์ของประเทศไทย ในขณะที่ประเทศไทยกำลังเป็นศูนย์กลางการผลิต EV ที่สำคัญของอาเซียนภายในปี 2568 โซลูชันของเรา เช่น เครือข่ายการขนส่งที่หลากหลายแบบบูรณาการ จะช่วยสนับสนุนเป้าหมายอันยิ่งใหญ่ของประเทศ”

ในส่วนของ DHL Global Forwarding มีความเชี่ยวชาญด้านบริการจัดการการขนส่งสินค้าทางอากาศ ทางทะเล ทางรางรถไฟ และทางถนน ด้วยสำนักงาน 7 แห่ง และคลังสินค้า 3 แห่ง รวมพื้นที่ 8,480 ตารางเมตรทั่วประเทศไทย DHL Global Forwarding ให้บริการลูกค้ากว่า 2,000 ราย ศูนย์ DHL International Multimodal Hub แห่งใหม่เป็นการลงทุนสำคัญที่ช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับประเทศไทยในฐานะศูนย์กลางการค้าของภูมิภาค ศูนย์นี้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของกระบวนการขนส่ง โดยช่วยให้การเชื่อมต่อระหว่างรูปแบบการขนส่งต่างๆ เป็นไปอย่างราบรื่น และลดความซับซ้อนของพิธีการศุลกากรในจุดเดียว นอกจากนี้ ยังเป็นศูนย์เชื่อมต่อที่สำคัญให้กับประเทศเพื่อนบ้านที่ไม่มีทางออกสู่ทะเล เช่น ประเทศลาว ด้วยทางเลือกการขนส่งที่หลากหลาย

DHL Global Forwarding แสดงให้เห็นถึงการพัฒนาการขนส่งทางถนนอย่างยั่งยืนมากขึ้นทั่วภูมิภาคเอเชีย ผ่านการเพิ่มประสิทธิภาพด้านโลจิสติกส์ การขนส่งหลายรูปแบบ และการใช้ EV โดยคาดการณ์ว่า EV ที่ใช้ในประเทศไทยจะช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 85,000 กิโลกรัมต่อปี  DHL Global Forwarding เป็นผู้นำนวัตกรรมโลจิสติกส์ที่ยั่งยืนผ่านบริการ GoGreen Plus ด้วยการนำเสนอทางเลือกในการลดการปล่อยคาร์บอนผ่านการใช้เชื้อเพลิงทางทะเลและการบินที่ยั่งยืน ช่วยให้ลูกค้าสามารถลดการปล่อยคาร์บอนได้อย่างมีประสิทธิภาพในทุกเส้นทางการค้า

นายสตีฟ วอล์กเกอร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร DHL Supply Chain กลุ่มธุรกิจประเทศไทย กล่าวว่า “ประเทศไทยเป็นหนึ่งในผู้นำด้านการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลในซัพพลายเชนและโลจิสติกส์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยการที่ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตที่สำคัญสำหรับภาคยานยนต์ เทคโนโลยี และอุตสาหกรรมการผลิต ประกอบกับการมีตลาดค้าปลีกในประเทศขนาดใหญ่ เรามีความเชื่อมั่นอย่างยิ่งต่อโอกาสทางธุรกิจ และมุ่งมั่นที่จะสนับสนุนการเติบโตของลูกค้าและความเป็นเลิศด้านซัพพลายเชนในประเทศไทยในอนาคต”

ปัจจุบัน DHL Supply Chain บริหารจัดการพื้นที่คลังสินค้ากว่า 678,000 ตารางเมตร ครอบคลุมมากกว่า 70 แห่ง รวมถึงในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ด้วยเครือข่ายการขนส่งที่ครอบคลุมทำให้บริษัทสามารถจัดการการขนส่งได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วยรถขนส่งกว่า 4,800 คัน ปัจจุบันบริษัทกำลังลงทุนพัฒนาคลังสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น และมีแผนขยายการใช้รถขนส่งไฟฟ้า (EV) เพิ่มขึ้น 300% ในอีกสามปีข้างหน้า

DHL Supply Chain ตอกย้ำความมุ่งมั่นในการให้บริการโลจิสติกส์สีเขียวผ่านการขนส่งที่ยั่งยืนมากขึ้น ด้วยการนำรถขนส่งไฟฟ้า (EV) กว่า 30 คัน มาใช้งานโดยร่วมมือกับลูกค้าในภาคธุรกิจค้าปลีก สินค้าอุปโภคบริโภค และภาคยานยนต์ พร้อมกันนี้ยังดำเนินโครงการ Certified GoGreen Specialist ซึ่งได้ฝึกอบรมพนักงานของ DHL Supply Chain ไปแล้วกว่า 80% นอกจากนี้ บริษัทกำลังดำเนินการตามแนวทางการบริหารคลังสินค้าที่ยั่งยืน โดยวางแผนพัฒนาคลังสินค้าที่ใช้พลังงานหมุนเวียน 100% แห่งแรกของประเทศไทยในปี 2568