‘การรถไฟฯ ไทย-สปป.ลาว’ MOU ผนึกกำลังพัฒนาเทคนิคขนส่งผู้โดยสาร ยกระดับระบบรางระหว่าง 2 ประเทศ หนุน ศก.-ท่องเที่ยว

“การรถไฟฯ“ ไทย – สปป.ลาว จรดปลายปากกา MOU พัฒนาเทคนิคขนส่งผู้โดยสาร ยกระดับพัฒนาระบบราง ช่วยยกระตุ้นเศรษฐกิจระหว่าง 2 ประเทศ พร้อมหนุนการท่องเที่ยว ด้าน “วีริศ” เผย เส้นทางกรุงเทพอภิวัฒน์-เวียงจันทน์ (คำสะหวาด) ตั้งแต่ ก.ค. 67 – ม.ค. 68 ผลตอบรับดี มีผู้ใช้บริการกว่า 2.88 แสนคน

วันนี้ (20 กุมภาพันธ์ 2568) ที่ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และนายสอนไซ สีพันดอน นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) เป็นประธานในพิธีลงนาม “บันทึกการดำเนินการด้านเทคนิค สำหรับการขนส่งผู้โดยสารทางรถไฟ” ระหว่างการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กระทรวงคมนาคม โดยนายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย และนายดาวจินดา สีหาราด ผู้ว่าการรัฐวิสาหกิจรถไฟแห่งชาติลาว 

นายวีริศ เปิดเผยว่า การลงนามบันทึกการดำเนินการด้านเทคนิคสำหรับการขนส่งผู้โดยสารทางรถไฟระหว่าง ไทย กับ สปป. ลาว ถือเป็นการสานความสัมพันธ์ของทั้ง 2 ประเทศ ที่มีมาอย่างยาวนานและแน่นแฟ้น ในฐานะประเทศเพื่อนบ้านที่มีชายแดนติดต่อกัน เพื่อร่วมกันพัฒนาระบบรางให้เชื่อมโยงโครงข่ายคมนาคมสำหรับรองรับการให้บริการประชาชน รวมถึงกระตุ้นการท่องเที่ยวระหว่างกัน นอกจากนี้ ยังมีความร่วมมือกันในอีกหลาย ๆ ด้าน

ทั้งนี้ ไทยพร้อมให้การสนับสนุนอย่างเหมาะสมให้กับพนักงานของ สปป.ลาว และพร้อมอำนวยความสะดวก จุดเข้า – ออกของขบวนรถไฟ ซึ่งกำหนดให้เป็นสถานีหนองคายและสถานีท่านาแล้ง รวมถึงการจัดเตรียมรถจักรและล้อเลื่อน พนักงานในการเดินรถโดยสาร การแบ่งรายได้จากการเดินรถโดยสาร การปฏิบัติตามข้อบังคับและระเบียบการเดินรถ การให้ความช่วยเหลือในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุ และการชำระบัญชีสำหรับการเดินรถโดยสาร ซึ่งจะทำให้การบริการระบบรางมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

นายวีริศ กล่าวต่อว่า ในส่วนของการเดินทางด้วยรถไฟระหว่างไทย และ สปป.ลาว เส้นทางกรุงเทพอภิวัฒน์-เวียงจันทน์ (คำสะหวาด) ตั้งแต่เดือน ก.ค. 2567 ที่ผ่านมา พบว่า ประชาชนและนักท่องเที่ยวให้การตอบรับเป็นอย่างดี มีผู้มาใช้บริการอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากสะดวก รวดเร็ว และประหยัดค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ทั้งนี้ จากสถิติผู้โดยสาร ขบวน 133/134 กรุงเทพอภิวัฒน์-เวียงจันทน์ (คำสะหวาด)-กรุงเทพอภิวัฒน์ ตั้งแต่เดือน ก.ค. 2567 – ม.ค. 2568 มีผู้โดยสารใช้บริการ 288,700 คน

อย่างไรก็ตาม แสดงให้เห็นถึงความนิยมในการเดินทางด้วยรถไฟของประชาชนที่มากขึ้น ดังนั้น การรถไฟฯ จะเดินหน้าพัฒนาการคมนาคมด้วยรถไฟอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ประชาชนได้รับความสะดวก ความประทับใจ และทำให้เศรษฐกิจเติบโตอย่างยั่งยืน