“คมนาคม-การท่าเรือฯ” เยือน MLIT แลกเปลี่ยนประสบการณ์ มุ่งพัฒนาท่าเรือให้ทันสมัยควบคู่ชุมชนเมือง เชื่อมโยงทุกระบบการขนส่ง ลดต้นทุนโลจิสติกส์ สร้างท่าเรือที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ขานรับนโยบายกระทรวงคมนาคม เพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันทางเศรษฐกิจของประเทศ
นายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม ในฐานะประธานกรรมการ (บอร์ด) การท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) เปิดเผยว่า เมื่อวานนี้ (21 ม.ค. 2568) ได้ประชุมร่วมกับกระทรวงที่ดิน โครงสร้างพื้นฐาน การขนส่ง และการท่องเที่ยว (Ministry of Land, Infrastructure, Transport and Tourism: MLIT) ประเทศญี่ปุ่น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ในการกำหนดนโยบายการพัฒนาท่าเรือให้ทันสมัยและมีประสิทธิภาพ รวมถึงการเชื่อมโยงกับระบบขนส่งอื่นๆ เพื่อสนับสนุนระบบโลจิสติกส์ของประเทศ ควบคู่กับการพัฒนาชุมชนและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน ตามกรอบการพัฒนาของกระทรวงคมนาคมที่มุ่งเน้นการขนส่งที่มีประสิทธิภาพ ปลอดภัย และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
ทั้งนี้ MLIT มีบทบาทสำคัญในการกำหนดนโยบายและขับเคลื่อนการพัฒนาท่าเรือของประเทศญี่ปุ่น ซึ่งมีเป้าหมายหลักเพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคการขนส่งทางทะเล สร้างความเชื่อมโยงทางการค้ากับนานาชาติ โดยมีนโยบายเพื่อก้าวเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์สำคัญของภูมิภาคเอเซีย ที่สามารถรองรับการขนส่งสินค้าที่มีปริมาณมากและหลากหลายชนิด พร้อมเชื่อมโยงท่าเรือกับระบบขนส่งอื่นๆ เช่น รถไฟ รถบรรทุก และการขนส่งทางอากาศ รวมทั้งยังส่งเสริมให้มีการพัฒนาระบบเทคโนโลยีที่ทันสมัยภายในท่าเรือโดยการเชื่อมโยงข้อมูลแบบไร้รอยต่อ (Seamless Operation) ระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และประเทศในอาเซียนซึ่งถือเป็นคู่ค้าที่สำคัญของประเทศ
นายชยธรรม์ กล่าวต่อว่า ภายหลังการหารือร่วมกับ MLIT นั้น พบว่า มีนโยบายที่สอดคล้องกับนโยบายของกระทรวงคมนาคม ที่ต้องการขับเคลื่อนนโยบายคมนาคมเพื่อโอกาสของประเทศไทย มุ่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานคมนาคมเพื่อสนับสนุนระบบโลจิสติกส์ ลดต้นทุนด้านการขนส่ง สร้างโอกาส เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจ ซึ่งนอกจาก MLIT จะเป็นหน่วยงานหลักในการขับเคลื่อนการพัฒนาท่าเรือให้ทันสมัยแล้วยังส่งเสริมการพัฒนาท่าเรือควบคู่กับเมือง โดยมีการนำแนวคิดการพัฒนาที่ยั่งยืนมาประยุกต์ใช้ เพื่อสร้างสมดุลระหว่างการเติบโตทางเศรษฐกิจกับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและวัฒนธรรม
นอกจากนี้ ยังรวมถึงการพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะให้เชื่อมต่อกับพื้นที่ริมน้ำ เพื่ออำนวยความสะดวกในการเดินทาง ตลอดจนการพัฒนาท่าเรือที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ด้วยการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของท่าเทียบเรือตู้สินค้า ส่งเสริมการใช้พลังงานทางเลือก และใช้พลังงานหมุนเวียนต่างๆ ตลอดจนการติดตั้งระบบจ่ายไฟฟ้าจากฝั่ง (Shore Power Supply) เพื่อลดมลพิษทางอากาศและเสียงรบกวนจากเรือที่จอดเทียบท่า ดังนั้น การเข้าพบปะหารือกับ MLIT ในวันนี้ นับว่าเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญของการท่าเรือฯ ที่จะนำนโยบายต่างๆ ข้างต้น มาประยุกต์ใช้ในการดำเนินการของท่าเรือกรุงเทพต่อไป
ด้านนายเกรียงไกร ไชยศิริวงศ์สุข ผู้อำนวยการ กทท. กล่าวว่า สำหรับการเข้าเยี่ยมชมแลกเปลี่ยนข้อมูลและประสบการณ์กับ MLIT ในครั้งนี้ จะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาโครงการต่างๆ ที่สำคัญของการท่าเรือฯ อาทิ การพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 การพัฒนาท่าเรือท่องเที่ยว การพัฒนาท่าเรือสีเขียว และการพัฒนาการใช้ประโยชน์พื้นที่ท่าเรือกรุงเทพให้เกิดประโยชน์สูงสุด ซึ่งเป็นโครงการสำคัญ (Flagship Project) ตามนโยบายของกระทรวงคมนาคมที่จะส่งเสริมศักยภาพของท่าเรือไทยในการเป็นศูนย์กลางการขนส่งในภูมิภาค
อีกทั้งช่วยเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจของพื้นที่ เพิ่มอัตราการจ้างงาน และเพิ่มคุณภาพชีวิตของชุมชน นอกจากนี้ การนำเทคโนโลยีที่ทันสมัย อาทิ ระบบ Automation และ AI มาใช้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน ยกระดับคุณภาพบริการสู่มาตรฐานสากล และลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมซึ่งจะส่งผลต่อการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ โดยมีความมุ่งมั่นจะเป็นท่าเรือที่เป็นกลางทางคาร์บอนในอนาคต ทั้งนี้ การท่าเรือฯ จะต้องเร่งพัฒนาท่าเรือให้เป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนโลจิสติกส์ของประเทศ เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน
สำหรับประเทศญี่ปุ่นในปัจจุบันมีท่าเรือทั้งสิ้นจำนวน 132 ท่า โดยในปี 2567 มีปริมาณตู้สินค้าผ่านท่าเรืออยู่ที่ 21.77 ล้าน TEUs หรือคิดเป็นประมาณสองเท่าของประเทศไทย (11 ล้าน TEUs) โดยมีท่าเรือหลักในการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศจำนวน 5 ท่า ได้แก่ ท่าเรือโตเกียว ท่าเรือโยโกฮามา ท่าเรือคาวาซากิ ท่าเรือโกเบ และท่าเรือโอซากะ