ชื่นมื่น! BEM ลงนามจ้าง ‘ช.การช่าง’ สร้างรถไฟฟ้าสายสีส้มฝั่งตะวันตก ‘ช่วงบางขุนนนท์-ศูนย์วัฒนธรรมฯ’ พร้อมติดตั้งระบบรถไฟฟ้า มูลค่า 1.2 แสนล้าน
BEM ลงนามจ้าง ช.การช่าง ลุยก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีส้มฝั่งตะวันตกช่วง ”บางขุนนนท์-ศูนย์วัฒนธรรมฯ“ 13.4 กม. พร้อมติดตั้งระบบรถไฟฟ้า มูลค่า 1.2 แสนล้าน เตรียมเข้าพื้นที่-ออกแบบ ส.ค.นี้ เร่งจัดหาขบวนรถไฟฟ้า 32 ขบวน มั่นใจ! ฝั่งตะวันออก “ศูนย์วัฒนธรรมฯ-มีนบุรี” เปิดวิ่งปลายปี 70 เปิดตลอดเส้นทาง 35.9 กม. ช่วงกลางปี 73 ยันเข้าร่วมนโยบายค่ารถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ส่วน Double Deck เร่งเจรจา กทพ. ลั่นพร้อมลงทุนก่อสร้าง เผยยินดีช่วยรัฐบาลลดค่าทางด่วน คาดได้ข้อสรุปปีนี้ พ่วงร่วมประมูลเดินรถสายสีม่วงใต้
วันนี้ (23 ก.ค. 2567) ได้มีพิธีลงนามสัญญาก่อสร้างงานโยธาและจัดหาระบบรถไฟฟ้า โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์-มีนบุรี (สุวินทวงศ์) ระยะทางรวม 35.9 กิโลเมตร (กม.) วงเงินลงทุนกว่า 1.2 แสนล้านบาท ระหว่างบริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM โดยนายสมบัติ กิจจาลักษณ์ กรรมการผู้จัดการ BEM กับบริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) หรือ CK โดยนายณัฐวุฒิ ตรีวิศวเวทย์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ CK ร่วมลงนามฯ โดยมีนายปลิว ตรีวิศวเวทย์ ประธานกรรมการ BEM และประธานกรรมการบริหาร CK พร้อมด้วยนายพงษ์สฤษดิ์ ตันติสุวณิชย์กุล ประธานกรรมการบริหาร BEM เป็นสักขีพยาน
นายสมบัติ เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลมอบความไว้วางใจให้บริษัทฯ เป็นผู้รับสัมปทานโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มดังกล่าว บริษัทฯ ได้ลงนามสัญญาจ้าง CK ให้เป็นผู้รับผิดชอบดำเนินการก่อสร้างงานโยธาโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มฝั่งตะวันตก ช่วงบางขุนนนท์-ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย และจัดหาพร้อมติดตั้งระบบรถไฟฟ้าสำหรับทั้งโครงการฯ ทั้งนี้ ภายหลังการลงนามในวันนี้นั้น การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) จะออกหนังสือเริ่มงาน (NTP) ภายในวันที่ 31 ก.ค.-1 ส.ค. 2567 และสามารถเข้าพื้นที่ก่อสร้างได้ทันที เนื่องจาก รฟม. ได้เตรียมส่งมอบพื้นที่ไว้แล้ว จากนั้น CK จะเริ่มการออกแบบและย้ายสาธารณูปโภค โดยจะใช้ระยะเวลา 1 ปี ควบคู่กับการก่อสร้างผนังสถานี และเข้าสู่กระบวนการขุดเจาะอุโมงค์ ใช้ระยะเวลา 3 ปี ก่อนจะติดตั้งระบบ ไฟฟ้า ประปา ระบบอาณัติสัญญาณ และทดสอบระบบ
สำหรับโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ฝั่งตะวันตก ช่วงบางขุนนนท์-ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย ระยะทาง 13.4 กม. มีกำหนดแล้วเสร็จภายใน 6 ปี หรือแล้วเสร็จพร้อมเปิดให้บริการในช่วงกลางปี 2573 โดยโครงการดังกล่าวฯ มีระยะเวลาสัมปทาน 30 ปี นับจากเริ่มเปิดให้บริการช่วงตะวันออก โดยช่วงตะวันออก ช่วงศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย-มีนบุรี (สุวินทวงศ์) ระยะทาง 22.5 กม. นั้น มีกำหนดแล้วเสร็จภายใน 3 ปี 6 เดือน ซึ่ง BEM มั่นใจว่า จะสามารถเปิดให้บริการส่วนนี้ได้ภายในปลายปี 2570 เพื่อมอบเป็นของขวัญปีใหม่ 2571 ตามนโยบายของกระทรวงคมนาคม
“BEM มีความพร้อมที่จะดำเนินโครงการตามที่ได้รับมอบหมายจากรัฐบาล โดยในส่วนของการก่อสร้างงานโยธาช่วงตะวันตก BEM มีพันธมิตรที่แข็งแกร่งอย่าง CK ที่มีประสบการณ์ ความรู้ ความชำนาญในงานก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ที่มีความซับซ้อน โดย CK ได้จัดเตรียมทีมงานและเครื่องจักรอุปกรณ์พร้อมเข้าดำเนินงานได้ทันที จึงมั่นใจได้ว่าจะสามารถดำเนินงานได้แล้วเสร็จตามกำหนดการ อย่างมีคุณภาพและให้ความสำคัญด้านความปลอดภัยสูงสุด“ นายสมบัติ กล่าว
นายสมบัติ กล่าวต่อว่า ในปีนี้ ถือเป็นปีที่ดีของ BEM มีกำไรเติบโตจากการบริหารโครงการสัมปทานที่มีอยู่ทั้งรถไฟฟ้าและทางพิเศษ หลังจากกำไรที่เคยลดลงไปเมื่อช่วงโควิด-19 ตอนนี้กลับคืนมาแล้ว และยังทำกำไร New High ในทุกปีๆ จากจำนวนผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้น ประกอบกับการควบคุมต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ และต้นทุนทางการเงินที่อยู่ในระดับต่ำ จึงเป็นปัจจัยสำคัญที่ผลักดันให้ผลประกอบการของบริษัทฯ เติบโตอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ การได้รับสัมปทานโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ถือเป็น New S-Curve ให้กับ BEM ช่วยเพิ่มความสามารถในการดำเนินธุรกิจอย่างต่อเนื่อง หนุนรายได้ให้กับสัมปทานตัวเดิมอย่างรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน เพราะจะส่งผู้ใช้บริการเข้ามาในระบบเพิ่มขึ้น โดยตั้งแต่เปิดการเดินรถไฟฟ้าสายสีส้มช่วงตะวันออกนั้น จะมีผู้โดยสารประมาณ 80% เชื่อมเข้าสู่รถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินทันที อีกทั้งยังทำให้เกิดการบริหารต้นทุนได้ดีขึ้นเมื่อเทียบกับขนาดของธุรกิจ (Economy of Scale) และทำให้บริษัทเติบโตอย่างก้าวกระโดด
ด้านนายพงษ์สฤษดิ์ กล่าวว่า ในส่วนของการจัดหาติดตั้งระบบรถไฟฟ้านั้น ปัจจุบันอยู่ระหว่างเจรจากับผู้ผลิตเพื่อสั่งซื้อรถไฟฟ้าแบบล็อตใหญ่รวม 53 ขบวน แบ่งเป็น รถไฟฟ้าที่ใช้ในสายสีส้ม 32 ขบวน โดยจะนำมาให้บริการในฝั่งตะวันออก จำนวน 16 ขบวน และให้บริการในฝั่งตะวันตก จำนวน 16 ขบวน นอกจากนี้ จะจัดหารถไฟฟ้าสำหรับบริการในโครงการสายสีน้ำเงินเพิ่มเติมอีก 21 ขบวน ขบวนละ 3 ตู้ โดยบริษัทฯ ยืนยันว่า ให้ความสำคัญกับคุณภาพและความปลอดภัยเป็นลำดับแรก เห็นได้จากในโครงการที่ผ่านมาบริษัทเลือกใช้ผู้ผลิตจากประเทศเยอรมัน และญี่ปุ่นเป็นหลัก ส่วนโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม จะใช้ระบบรถไฟฟ้าของประเทศไหนนั้น คาดว่า จะได้ข้อสรุปภายใน 2 เดือนนี้
สำหรับเงินลงทุนรวมทั้งสิ้นกว่า 1.4 แสนล้านบาทนั้น BEM ได้จัดเตรียมเงินกู้วงเงินประมาณ 1.2 แสนล้านบาท แบ่งเป็นเงินกู้สำหรับก่อสร้างงานโยธาช่วงตะวันตก 90,000 ล้านบาท และสำหรับงานระบบรถไฟฟ้า 30,000 ล้านบาท ควบคู่ไปกับเงินทุนจากการดำเนินงานของบริษัทฯ และแหล่งเงินทุนอื่นๆ เช่นหุ้นกู้ ทั้งนี้ บริษัทฯ คาดการณ์จำนวนผู้โดยสารในปีแรกของการให้บริการช่วงตะวันออก จะมีประมาณ 1.2 แสนคน/วัน และเมื่อเปิดตลอดเส้นทางคาดว่าจะมี 3 แสนคน/วัน
นายพงษ์สฤษดิ์ กล่าวอีกว่า ในส่วนของค่าโดยสารนั้น จะอยู่ที่ประมาณ 17-62 บาท ซึ่งในระยะเวลา 10 ปีแรก จะมีโปรโมชั่นโครงสร้างอัตราค่าโดยสาร เริ่มต้นที่ 17- 44 บาท และปรับขึ้นทุก 2 ปี ตามอัตราดัชนีผู้บริโภค (CPI) ก่อนที่จะกลับไปใช้อัตราค่าโดยสารตามสัญญาต่อไป ขณะที่นโยบายตั๋วร่วมนั้น BEM พร้อมที่จะให้ความร่วมมือโดยปัจจุบันบริษัทฯ ได้เตรียมระบบ EMV รองรับการใช้งานไว้แล้ว ส่วนเรื่องค่าโดยสารรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ถือเป็นเรื่องที่ประชาชนได้ประโยชน์ BEM ก็พร้อมให้ความร่วมมือและเจรจาเหมือนกับโครงการทางด่วนชั้นที่ 2 เพื่อให้เกิดความเป็นธรรม และเป็นไปตามหลักการที่คำนึงถึงประโยชน์ของประชาชนเป็นสำคัญ
ขณะที่ โครงการทางด่วนชั้นที่ 2 (Double Deck) นั้น ขณะนี้ อยู่ระหว่างการเจรจาร่วมกับการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) และพร้อมลงทุนดำเนินการก่อสร้าง ทั้งนี้ บริษัทฯ ยืนยันว่า ยินดีหากรัฐบาลต้องการให้ปรับลดค่าผ่านทางในอัตราสูงสุดไม่เกิน 50 บาท หรือ 50 บาทตลอดสาย ส่วนการขยายสัมปทานโครงการฯ จะขยายให้กี่ปีนััน ขึ้นอยู่กับรัฐบาล โดยคาดว่า จะได้ข้อสรุปภายในปีนี้
อย่างไรก็ตาม การดำเนินการดังกล่าว เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการลดภาระการลงทุนของภาครัฐ จึงเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ ด้านโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ ช่วงเตาปูน-ราษฎร์บูรณะ (วงแหวนกาญจนาภิเษก) ที่ภาครัฐอยู่ระหว่างศึกษาความเหมาะสมในการคัดเลือกเอกชนบริหารงานเดินรถ คาดว่า จะสรุปได้ภายในสิ้นปี 2567 เช่นกัน โดย BEM พร้อมที่จะเจรจาในทุกรูปแบบ