’นายกฯ‘ บุกตามงานพัฒนา ‘แหลมฉบัง เฟส 3’ คาดแล้วเสร็จพร้อมเปิดใช้ตามแผน หนุนลดต้นทุนขนส่งเหลือ 12% ของ GDP
“นายกฯ“ นำทัพ ”สุริยะ-มนพร“ ตามความคืบหน้าพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง เฟส 3 เผยการงานก่อสร้างงานทางทะเล คืบหน้ากว่า 31% คาดแล้วเสร็จตามแผนภายใน มิ.ย. 69 เชื่อเปิดท่าเรือ F1 ได้ตามกำหนด พร้อมรองรับการลงทุนต่างประเทศ หนุนลดต้นทุนขนส่งเหลือ 12% ของ GDP
นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เปิดเผยภายหลังลงพื้นที่ตรวจราชการจังหวัดชลบุรี-ระยอง พร้อมติดตามความคืบหน้าการก่อสร้างท่าเรือแหลมฉบังระยะที่ 3 ในส่วนงานก่อสร้างงานทางทะเลของ การท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) วันนี้ (23 มิ.ย. 2567) โดยมีนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และนางมนพร เจริญศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคมว่า สำหรับการก่อสร้างท่าเรือแหลมฉบัง ส่วนงานที่ 1 งานก่อสร้างงานทางทะเลนั้น นายเกรียงไกร ไชยศิริวงศ์สุข ผู้อำนวยการ กทท. รายงานว่า งานดังกล่าว มีกิจการร่วมค้า CNNC เป็นผู้รับจ้าง มูลค่างานรวม 21,320 ล้านบาท ซึ่งประกอบด้วยงานถมทะเลทั้งหมดประมาณ 2,846 ไร่ หรือ 4.5 ล้านตารางเมตร งานขุดลอกร่องน้ำและแอ่งจอดเรือให้มีระดับความลึก 18.5 เมตร และงานเขื่อนกันคลื่น
ทั้งนี้ กทท. ได้ออกหนังสือแจ้งให้ผู้รับจ้างเริ่มเข้าดำเนินการก่อสร้างเมื่อ พ.ค. 2564 โดยส่งมอบงานถมทะเลพื้นที่ 1 ได้เมื่อ ส.ค. 2565 และงานถมทะเลพื้นที่ 2 เมื่อต.ค. 2566 ซึ่งตามที่นายกรัฐมนตรีได้มาตรวจราชการและติดตามความคืบหน้างานก่อสร้างทางทะเล เมื่อวันที่ 4 พ.ย. 2566 มีความคืบหน้าเพียง 13.26% พร้อมได้สั่งการให้ กทท. เร่งรัดการก่อสร้างให้ทันตามแผนนั้น ล่าสุด พบว่า สามารถส่งงานการก่อสร้างได้ตามแผน จึงทำให้ในช่วง 7 เดือนสามารถเร่งรัดได้เนื้องานเพิ่มขึ้นกว่า 17%”
สำหรับความคืบหน้าการดำเนินโครงการส่วนที่ 1 งานก่อสร้างงานทางทะเล ณ พ.ค. 2567 ดำเนินงานได้ 31.12% จากแผนปฏิบัติงาน 35.11% แม้ว่าในช่วงที่ผ่านมาจะดำเนินงานอย่างเต็มที่ แต่ยังคงล่าช้ากว่าแผน 3.99% ซึ่งผู้ควบคุมงานก็ได้จัดทำแผนเร่งรัดการปฏิบัติงาน โดยเพิ่มเครื่องจักรทางบก ทางน้ำ และแรงงานให้สัมพันธ์กัน เพื่อให้สามารถขุดลอกได้มากกว่า 2,000,000 ลบ.ม. ต่อเดือน ตามเป้าหมาย ทั้งนี้ ได้กำกับดูแลและควบคุมเร่งรัดการทำงานให้ผู้รับจ้างมีผลงานโดยเฉลี่ยไม่น้อยกว่า 3% ต่อเดือน
นายเศรษฐา กล่าวต่อว่า ขณะนี้การดำเนินงานเป็นไปตามแผนเร่งรัด และความล่าช้าเหลือเพียงไม่ถึง 4% และคาดว่าจะสามารถ Catch Up ได้ภายในสิ้นปี 2568 การมาตรวจงานครั้งนี้เป็นการพูดคุยรายงานผล ปัญหาอุปสรรคกันอย่างตรงไปตรงมา ขณะนี้พบว่ามีปัญหาการขาดแคลนหินที่จะใช้ในการก่อสร้าง จึงสั่งการให้เร่งรัดแก้ไขโดยเร็วและขอเป็นกำลังใจให้กับผู้บริหาร กทท. และทีมงานผู้รับจ้างให้พยายามดำเนินงานทุกอย่างได้ตามแผนงานเพื่อพร้อมเปิดท่าเรือ F1 ตามกำหนด
ด้านนายเกรียงไกร กล่าวว่า จากปัจจุบันผลงานก่อสร้างของผู้รับจ้างยังมีความล่าช้ากว่าแผนฯ แต่ก็มีความคืบหน้าเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และมั่นใจว่าการก่อสร้างงานทางทะเลจะดำเนินการแล้วเสร็จตามแผนภายใน มิ.ย. 2569 รวมถึงจะไม่กระทบกับสัญญาของบริษัทเอกชนคู่สัญญาบริษัท จีพีซี อินเตอร์เนชั่นแนล เทอร์มินอล จำกัด ที่ กทท. จะต้องมีการส่งมอบเฉพาะพื้นที่งานถมทะเลท่าเทียบเรือ F1 ปัจจุบันมีความคืบหน้าการถมไปกว่า 97% คาดว่าจะแล้วเสร็จภายใน ก.ค. 2567 นี้ หลังจากนั้นจะมีเวลาอีกประมาณ 1 ปีเศษ ที่จะต้องการตรวจสอบการปรับปรุงคุณภาพพื้นที่ เพื่อเตรียมส่งมอบให้กับบริษัท จีพีซี ได้ในช่วงปลาย พ.ย. 2568
สำหรับงานส่วนที่ 2 งานก่อสร้างอาคาร ท่าเทียบเรือ ระบบถนน และระบบสาธารณูปโภค ได้ดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างแล้วเสร็จเมื่อเร็วๆ นี้ โดยบริษัทไชน่า ฮาร์เบอร์ เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด เป็นผู้ชนะการประกวดราคาที่วงเงิน 7,298 ล้านบาท ซึ่งเสนอราคาต่ำกว่าราคากลางประมาณ 160 ล้านบาท กทท. สามารถลงนามในสัญญาได้ภายในต้น ก.ค. 2567
ขณะที่งานส่วนที่ 3 งานก่อสร้างระบบรถไฟ มูลค่า 799 ล้านบาท และส่วนที่ 4 งานจัดหาประกอบและติดตั้งเครื่องจักรอุปกรณ์สำหรับขนย้ายสินค้า พร้อมออกแบบประกอบและติดตั้งระบบเทคโนโลยีสำหรับบริหารท่าเรือและโครงสร้างพื้นฐานมูลค่า 2,257 ล้านบาท ทั้งสองส่วนอยู่ระหว่างการสรรหาผู้รับจ้างจัดทำเอกสารประกวดราคา คาดว่าจะเปิดประมูลได้ในช่วงปลายปี 2567
นายเกรียงไกร กล่าวอีกว่า โครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 แสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการรองรับปริมาณตู้สินค้าที่จะเพิ่มขึ้น หากโครงการแล้วเสร็จ และเปิดให้บริการจะสามารถรองรับปริมาณการขนส่งตู้สินค้าได้เพิ่มขึ้นอีก 7 ล้าน ทีอียูต่อปี ประกอบด้วยท่าเรือ F1 จำนวน 2 ล้าน ทีอียูต่อปี ท่าเรือ F2 จำนวน 2 ล้าน ทีอียูต่อปี ท่าเรือ E จำนวน 3 ล้าน ทีอียูต่อปี ซึ่งเมื่อรวมกับขีดความสามารถเดิมของท่าเรือแหลมฉบังระยะที่ 1 และ 2 ที่ 11 ล้าน ทีอียูต่อปี แล้วจะทำให้ท่าเรือแหลมฉบังมีขีดความสามารถในการรองรับตู้สินค้าได้ถึง 18 ล้าน ทีอียูต่อปี
ทั้งนี้ จะทำให้เพิ่มปริมาณการขนส่งตู้สินค้าทางรถไฟและท่าเรือชายฝั่ง รวมถึงการเชื่อมโยงการขนส่งทางรางกับท่าเรือบกให้เพิ่มมากขึ้นด้วย เป็นการเพิ่มศักยภาพและรองรับการขยายตัวสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจการลงทุนของประเทศอย่างมหาศาล ซึ่งจะช่วยสนับสนุนให้ท่าเรือแหลมฉบังเป็นศูนย์กลางการขนส่งของภูมิภาค อีกทั้งช่วยสนับสนุนการลดต้นทุนการขนส่งโดยรวมของประเทศจาก 14% ของ GDP เหลือ 12% ของ GDP สอดรับนโยบายของรัฐบาลที่ตั้งเป้าหมายลดต้นทุนด้านโลจิสติกส์มุ่งให้ไทยเป็นศูนย์กลางการขนส่งของภูมิภาคต่อไป