มหากาพย์! ‘รถไฟฟ้าสายสีส้ม’ ปมข้อพิพาทรัฐ-เอกชน ทำค่าเสียโอกาสพุ่ง 1.3 แสนล้าน ใครรับผิดชอบ?

ภายหลังศาลปกครองสูงสุดพิพากษายกฟ้องข้อพิพาทระหว่างรัฐ-เอกชน ในคดีรถไฟฟ้าสายสีส้มตะวันตก ช่วงบางขุนนนท์-มีนบุรี (สุวินทวงศ์) หลายคนอาจไม่ทราบว่า มหากาพย์เรื่องนี้ยืดเยื้อมาเป็นเวลาหลายปี ส่งผลให้โครงการก่อสร้างมีความล่าช้า หนำซ้ำยังสร้างต้นทุนเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะค่าดูแลรักษาระบบที่ดำเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จ รวมทั้งค่าเสียโอกาสนับแสนล้านบาท ทว่าเรื่องนี้ “กระทรวงคมนาคม” มั่นใจว่า โครงการได้ไปต่อ แต่จะง่ายหรือไม่? ต้องมาติดตามกัน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มหากาพย์แสนล้านนี้ เป็นคดีที่บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BTSC เป็นผู้ฟ้องคดีกับคณะกรรมการคัดเลือก ตามมาตรา 36 และ การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ในฐานะผู้ถูกฟ้องที่ 1 และ 2 ข้อพิพาทของโครงการดังกล่าว ซึ่งผู้ฟ้องคดี ระบุว่า คณะกรรมการคัดเลือกฯ ทำการไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่ล่าสุดเมื่อวันที่ 12 มิ.ย. 2567 ที่ผ่านมา ศาลปกครองสูงสุดได้พิพากษายืนตามศาลปกครองชั้นต้นพิพากษา “ยกฟ้อง” ในคดีนี้

แต่ประเด็นที่กำลังร้อนแรง และมีวิพากวิจาณ์กันหนัก คือ ผลที่เกิดจากการโดนเอกชนฟ้องร้อง ส่งผลให้โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มช่วงบางขุนนนท์-มีนบุรี (สุวินทวงศื) ที่ในปัจจุบันแม้ว่างานโยธาส่วนตะวันออก โครงการส่วนตะวันออก ช่วงศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย – มีนบุรี (สุวินทวงศ์) จะก่อสร้างแล้วเสร็จ 100% แต่ยังไม่สามารถเปิดให้บริการได้ เนื่องจากสัญญาจ้างเดินรถผูกอยู่กับงานโยธา ช่วงบางขุนนนท์ – ศูนย์วัฒนธรรมฯ ที่ติดอยู่ในกระบวนการพิจารณาของศาลปกครองมาเวลานับปี  

โดย รฟม. ได้ประเมินความเสียหายที่เกิดขึ้น กรณีเปิดให้บริการรถไฟฟ้าสายสีส้มตะวันออกล่าช้า พบมีมูลค่าความเสียหายสูงถึง 4.3 หมื่นล้านบาทต่อปี เพราะงานก่อสร้างโยธาส่วนตะวันออก ที่เสร็จแล้วแต่ไม่ได้ใช้ มีค่าใช้จ่ายตามมามากมาย ทั้งการบำรุงรักษาระบบ วงเงิน 495 ล้านบาทต่อปี, ค่าเสียโอกาสเก็บค่าโดยสารจากรถไฟฟ้าสายสีส้มส่วนตะวันออก วงเงิน 1,764 ล้านบาทต่อปี บวกกับค่าเสียโอกาสทางเศรษฐกิจ 40,644 ล้านบาทต่อปี จากเดิม ที่ รฟม. มีแผนจะเปิดให้บริการรถไฟฟ้าสายสีส้มส่วนตะวันออกใน มี.ค. 2567 แต่การล่าช้าออกไปถึง 3 ปี เมื่อคำนวนแล้วพบว่า ทำให้ประเทศเสียหายถึง 1.3 แสนล้านบาท แบบนี้ “ใครจะรับผิดชอบ?”

    

***ย้อนดูไทม์ไลน์ “มหากาพย์การประมูลรถไฟฟ้าสายสีส้ม” ***

นับจากวันที่ รฟม.ออกประกาศเชิญชวนเอกชนร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน (PPP) เมื่อวันที่ 3 ก.ค. 2563 มีการปรับเกณฑ์เทคนิคจนมีเอกชนฟ้องร้อง จากนั้นวันที่ 24 พ.ค. 2565 รฟม.ประกาศเชิญชวนเอกชนร่วมลงทุนโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มครั้งที่ 2 และในวันที่ 16 ก.ย. 2565 รฟม.ประกาศผลพิจารณาข้อเสนอเอกชน โดยบริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM เป็นบริษัทที่ยื่นข้อเสนอที่ผ่านการประเมินสูงสุด  

ส่วนการปรับหลักเกณฑ์ ของ รฟม. ได้ยืนยันถึงการคำนึงการปรับเกณฑ์ที่ให้ความสำคัญกับงานเทคนิคที่ต้องได้เอกชนผู้ชำนาญงานด้านอุโมงค์ โดยการถอดบทเรียนแก้ปัญหาในอดีต ทั้งน้ำรั่วในอุโมงค์สถานี อาคารรอบพื้นที่ร้าวจากผลกระทบของงานก่อสร้าง โดยสรุปข้อพิพาทที่ถูกเอกชนรายนี้ฟ้องร้อง จะทำให้รถไฟฟ้าสีส้มส่วสตะวันออก จะเปิดให้บริการได้ในปี 2571 และรถไฟฟ้าสายสีส้มส่วนตะวันตก จะไปเปิดได้ในปี 2573 แม้ว่าในยุคนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ ดำรวตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม แม้ได้พยายามผลักดันให้โครงการประกวดราคาเดินหน้าให้แล้วเสร็จ เพื่อลดความเสียหายจากโครงการล่าช้า

โดยล่าสุดนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ออกมาเปิดเผยว่า เมื่อศาลปกครองสูงสุดได้มีคำตัดสินชี้ขาดออกมาแล้วก็ถือว่าโครงการไม่มีปัญหาติดขัดใดๆ รฟม. แจ้งว่า จะเสนอผลการคัดเลือกเอกชน และร่างสัญญาร่วมลงทุนที่ผ่านการตรวจพิจารณาของสำนักงานอัยการสูงสุด และเงื่อนไขสำคัญของสัญญาร่วมลงทุน ตามขั้นตอนของ พ.ร.บ.ร่วมลงทุนฯ 2562 ซึ่งกระทรวงคมนาคมมีระยะเวลาในการดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน ก่อนนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อพิจารณาต่อไป คาดว่าจะสามารถลงนามสัญญากับผู้ได้รับการคัดเลือกฯ ให้เร็วที่สุด

ด้านนายวิทยา พันธุ์มงคล รักษาการผู้ว่าฯ รฟม. กล่าวว่า ในส่วนของโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม หลังจากนี้รายละเอียดจะอยู่ในอำนาจของกระทรวงคมนาคม ที่จะเสนอให้ ครม. พิจารณา หลังจากที่ ครม. เห็นชอบแล้ว การเดินรถส่วนตะวันออก ช่วงศูนย์วัฒนธรรมฯ – มีนบุรี ที่ปัจจุบันงานโยธาก่อสร้างแล้วเสร็จ ดังนั้นหากลงนามสัญญากับเอกชนได้ ก็จะสามารถส่งมอบพื้นที่ส่วนนี้ให้เอกชนเริ่มติดตั้งระบบอาณัติสัญญาณ และจัดหาขบวนรถเข้ามาให้บริการ โดยตามสัญญามีกรอบเวลาให้เอกชนดำเนินการ 3 ปี 6 เดือน