กพท. ลุยแผนรับอุตสาหกรรมการบินโต เร่งอัพเกรด ‘ท่าอากาศยานอู่ตะเภา’ ดึงผู้โดยสารปี 67 กว่า 6 แสนคน

กพท. เปิดแผนอุตสาหกรรมการบิน เร่งออกใบรับรองสนามบินสาธารณะให้บริการไฟลท์อินเตอ์ เตรียมพร้อมรับการตรวจ ICAO ด้าน ”ท่าอากาศยานอู่ตะเภา“ รุกหนักอุตฯ การบิน ลุยทำการตลาด “จีน-อินเดีย-กัมพูชา-มาเลย์-ไต้หวัน” ดึงแอร์ไลน์เปิดบินตรง ตั้งเป้าปี 67 มีผู้โดยสาร 6 แสนคน โตขึ้นกว่า 36% เมื่อเทียบกับปี 66 หลัง 6 เดือนแรก ผู้โดยสารแห่ใช้แล้ว 2.8 แสนคน ชี้ชาวรัสเซียยังครองเบอร์ 1 ส่วน “แอร์เอเชียเอ็กซ์” จ่อเปิดไฟลท์ปฐมฤกษ์ “อู่ตะเภา-กัวลาลัมเปอร์” ดีเดย์ 17 มิ.ย.นี้ เร่งประสาน ขบ. ขยายเส้นทางรถสองแถว อำนวยความสะดวกเชื่อมเดินทางมายังสนามบิน

นายสุทธิพงษ์ คงพูล ผู้อำนวยการสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) เปิดเผยว่า ประเทศไทยมีสนามบินสาธารณะ จำนวน 39 แห่ง ในจำนวนดังกล่าว มีสนามบินที่เปิดให้บริการระหว่างประเทศ จำนวน 10 แห่ง ซึ่ง กพท. ในฐานะหน่วยงานกำกับดูแล ควบคุม ตรวจสอบ ติดตาม และประเมินผลการดำเนินงานสนามบินสาธารณะของไทย จึงให้ความสำคัญกับการออกใบรับรองการดำเนินงานสนามบินสาธารณะสำหรับสนามบินที่ให้บริการระหว่างประเทศ (International airport) เป็นลำดับแรก ๆ เพื่อเตรียมความพร้อมในการรับการตรวจสอบจากองค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) โดยในปัจจุบันมีสนามบินที่ถือใบรับรองฯ จำนวน 9 แห่ง โดย 8 แห่งเป็นสนามบินที่เปิดให้บริการระหว่างประเทศ

สำหรับท่าอากาศยานนานาชาติ อู่ตะเภา-ระยอง-พัทยา เป็นท่าอากาศยานขนาดใหญ่ ความยาวทางวิ่ง 3,505 เมตร สามารถรองรับอากาศยานขนาดใหญ่ได้ทั้ง B777 , B787 , A330 รวมถึง Antonov โดยท่าอากาศยานได้เริ่มเข้าสู่กระบวนการออกใบรับรองการดำเนินงานสนามบินสาธารณะ เมื่อ มี.ค. 2563 และดำเนินการตามกระบวนการจนได้รับใบรับรองการดำเนินงานสนามบินสาธารณะเมื่อวันที่ 2 มี.ค. 2565 ปัจจุบันท่าอากาศยานนานาชาติ อู่ตะเภา-ระยอง-พัทยา ได้ให้บริการทั้งการบินภายในประเทศและต่างประเทศ ตลอด 24 ชั่วโมง

นอกจากนี้ อยู่ระหว่างการพัฒนาภายใต้โครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการโครงสร้างพื้นฐานหลักสำคัญของ EEC โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อยกระดับสนามบินนานาชาติอู่ตะเภา-ระยอง-พัทยา เป็นสนามบินนานาชาติเชิงพาณิชย์หลักแห่งที่ 3 ที่เชื่อมต่อกับท่าอากาศยานดอนเมืองและท่าอากาศยานสุวรรณภูมิด้วยรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน ซึ่งจะส่งผลให้ทั้ง 3 ท่าอากาศยานสามารถรองรับผู้โดยสารได้มากถึง 200 ล้านคนต่อปี

ด้านนาวาเอก รตน วันภูงา หัวหน้าฝ่ายอำนวยการการท่าอากาศยานอู่ตะเภา กล่าวถึงความคืบหน้าโครงการก่อสร้างทางวิ่ง (รันเวย์) ที่ 2 และทางขับสนามบินนานาชาติอู่ตะเภา วงเงินโครงการ 15,200 ล้านบาทว่า สำหรับความล่าช้าของโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบินนั้น ไม่กระทบต่อการดำเนินโครงการก่อสร้างรันเวย์ที่ 2 เนื่องจากมีเพียงการก่อสร้างอุโมงค์ลอดใต้รันเวย์เท่านั้น ซึ่งสามารถมาดำเนินการภายหลังได้ ส่วนความคืบหน้าโครงการดังกล่าว เบื้องต้นมีเอกชนมาซื้อซองประมูลกว่า 30 ราย โดยกองทัพเรือมีกำหนดยื่นข้อเสนอในวันที่ 20 พ.ค. 2567 คาดว่าได้ผู้ชนะภายในปลายปี 2567 และเริ่มก่อสร้างทันที ใช้ระยะเวลาก่อสร้าง 3 ปี และจะดำเนินการติดตั้ง พร้อมทดสอบระบบประมาณ 1 ปี โดยคาดว่าจะแล้วเสร็จ พร้อมเปิดใช้งานภายในปี 2571

ทั้งนี้ การก่อสร้างรันเวย์ที่ 2 ของท่าอากาศยานอู่ตะเภา ประกอบด้วย การก่อสร้างรันเวย์เส้นทางที่ 2 ขนาดความยาว 3,505 เมตร กว้าง 60 เมตร เพื่อรองรับเครื่องบินทุกรุ่น โดยการจัดแนวรันเวย์จะสร้างเป็นทางคู่ขนานและอยู่ห่างจากรันเวย์เดิมประมาณ 1,140 เมตร ขณะที่แหล่งเงินในการลงทุนโครงการนี้ ได้รับทุนจากเงินกู้ของธนาคารเพื่อการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเอเชีย (AIIB) สัดส่วน 85% ของต้นทุนการจัดซื้อจัดจ้าง และรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยจะต้องจัดให้มีกองทุนคู่สัญญา 15% อัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) 0% เท่านั้น นำไปใช้กับการจัดหาเงินทุนของ AIIB และรูปแบบการประมูลจะดำเนินการผ่านการประกวดราคาแบบนานาชาติ

นาวาเอก รตน กล่าวต่อว่า ท่าอากาศยานนานาชาติ อู่ตะเภา-ระยอง-พัทยา มีขีดความสามารถในการรองรับปริมาณผู้โดยสารได้ประมาณ 3 ล้านคนต่อปี รองรับเที่ยวบินได้ 17 เที่ยวบินต่อชั่วโมง โดยเมื่อปี 2566 มีผู้โดยสารจำนวน 4.4 แสนคน และในปี 2567 ตั้งเป้าหมายจะมีผู้โดยสารจำนวน 6 แสนคน หรือโตขึ้นประมาณ 36% หลังเชื่อว่า นักท่องเที่ยวชาวจีนจะเดินทางเพิ่มมากขึ้น

โดยจากข้อมูล พบว่า ในช่วง 6 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2567 (ก.ย. 2566-มี.ค. 2567) มีผู้โดยสารแล้วจำนวน 2.8 แสนคน ส่วนใหญ่จะยังเป็นผู้โดยสารชาวรัสเซีย ขณะที่ ช่วงก่อนโควิด-19 (ปี 2562) มีผู้โดยสารรวมกว่า 1.63 ล้านคน ด้านจำนวนเที่ยวบินในปี 2566 นั้น อยู่ที่ประมาณ 6.1 พันเที่ยวบิน และคาดการณ์ว่า ในปี 2567 จะเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน อย่างไรก็ตาม หลังจากนี้ ท่าอากาศยานฯ จะทำการตลาดไปยังประเทศจีน, อินเดีย, กัมพูชา, มาเลเซีย และไต้หวัน เพื่อดึงผู้โดยสารมาใช้บริการเพิ่มมากขึ้น

นาวาเอก รตน กล่าวอีกว่า ปัจจุบันท่าอากาศยานนานาชาติ อู่ตะเภา-ระยอง-พัทยา มีสายการบินภายในประเทศให้บริการ 2 สายการบิน คือ 1.สายการบินบางกอกแอร์เวย์ส ให้บริการ 2 เส้นทางทุกวัน วันละ 1 เที่ยวบิน ทั้งขาไป และขากลับ รวม 14 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ คือ เส้นทางอู่ตะเภา-สมุย และและอู่ตะเภา-ภูเก็ต และ 2.สายการบินไทย ไลอ้อน แอร์ ให้บริการเส้นทาง อู่ตะเภา-เชียงใหม่ ทุกวันอังคาร,พฤหัส,อาทิตย์ รวมจำนวน 6 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ ขณะที่ เที่ยวบินระหว่างประเทศนั้น ได้ให้บริการแบบประจำ คือ สายการบิน ฟลายดูไบ (Flydubai) เส้นทางบินตรงอู่ตะเภา-ดูไบ (ทุกวัน) และแบบเช่าเหมาลำ (Charter Flight) โดยสายการบิน Azur Air จากรัสเซีย ในเส้นระหว่างอู่ตะเภา-รัสเซีย (6 เมือง) ซึ่งถือเป็นตลาดหลักของท่าอากาศยาน

นอกจากนี้ ท่าอากาศยานนานาชาติ อู่ตะเภา-ระยอง-พัทยา อยู่ระหว่างการยกระดับการให้บริการระบบขนส่งสาธารณะ โดยล่าสุดได้ประสานไปยังกรมการขนส่งทางบก (ขบ.) ในการขอขยายเส้นทางรถสองแถวเชื่อมมายังท่าอากาศยานฯ ทั้งนี้ ปัจจุบันรถสองแถวได้วิ่งให้บริการในเส้นทางสัตหีบ-กิโล 10-บ้านฉาง-ระยอง ซึ่งจะขอขยายเส้นทางเพิ่มจากกิโล 10 ให้วิ่งมารับ-ส่งผู้โดยสารที่ท่าอากาศยานฯ ก่อนจะไปบ้านฉาง-ระยองต่อไป เพื่ออำนวยความสะดวกในการเดินทางของผู้โดยสารเชื่อมต่อท่าอากาศยานอู่ตะเภา ส่วนระบบขนส่งสาธารณะอื่นๆ ที่ให้บริการในขณะนี้ จะมีทั้งรถแท็กซี่ เส้นทางอู่ตะเภา-ระยอง อู่ตะเภา-พัทยาเหนือ, รถมินิบัส เส้นทางเส้นทางอู่ตะเภา-ตราด, อู่ตะเภา-ชลบุรี และรถลีมูซีน