เปิดหวูด! จากขบวนรถไฟ ‘ฮามานะสุ’ ดอกกุหลาบญี่ปุ่น สู่ขบวนรถไฟท่องเที่ยว ‘รอยัล บลอสซั่ม‘ ดอกราชพฤกษ์ไทย

“การรถไฟฯ” เผยโฉมรถไฟท่องเที่ยวขบวนใหม่ “SRT ROYAL BLOSSOM” 5 คัน หลังปรับปรุงขบวนรถญี่ปุ่น “Hamanasu” อิมพอร์ตจากเมืองฮอกไกโด ตั้งเป้าเปิดให้บริการเส้นทางท่องเที่ยวระยะสั้นในช่วงกลางปีนี้ ส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในประเทศ จ่อรับ KIHA เพิ่มในเดือนนี้ พร้อมเร่งปรับปรุง Hamanasu 5 คันที่เหลือให้แล้วเสร็จภายในปลายปี 67

นายนิรุฒ มณีพันธ์ ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เปิดเผยว่า ตามที่การรถไฟฯ ได้รับมอบรถโดยสารชนิดนั่งปรับอากาศ Hamanasu (ฮามานะสุ) จากบริษัท Hokkaido Railway Company (JR Hokkaido) ประเทศญี่ปุ่น จำนวน 10 คัน ประกอบด้วย รถรุ่น SUHAFU (มีเครื่องยนต์ปั่นไฟ) 5 คัน และรถรุ่น OHA (ไม่มีเครื่องยนต์ปั่นไฟ) 5 คัน โดยล่าสุด ฝ่ายการช่างกล การรถไฟฯ ได้แจ้งถึงการปรับปรุงรถโดยสารชนิดนั่งปรับอากาศ Hamanasu ชุดแรกใกล้แล้วเสร็จ จำนวน 5 คัน ภายใต้ชื่อ “SRT Royal Blossom”

ทั้งนี้ ปัจจุบัน ตู้ SRT Royal Blossom อยู่ระหว่างทดสอบความพร้อมของระบบ และเมื่อทดสอบแล้วเสร็จ มีกำหนดเริ่มให้บริการสำหรับการท่องเที่ยวโดยเฉพาะในช่วงกลางปี 2567 ในเส้นทางระยะสั้น แบบวันเดย์ทริป/พักค้างคืน เช่น กาญจนบุรี, ฉะเชิงเทรา, เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์, หัวหิน เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีแผนให้บริการในช่วงเทศกาลสำคัญ หรือให้บริการเช่าเหมาขบวน ตามความเหมาะสมต่อไป ส่วนอีก 5 คันที่เหลือ คาดว่า จะปรับปรุงแล้วเสร็จภายในปลายปีนี้ นอกจากนี้ ในปีนี้ (2567) การรถไฟฯ เตรียมรับมอบรถไฟ KIHA จากประเทศญี่ปุ่นเพิ่มเติม ก่อนนำมาปรับปรุงและเปิดให้บริการในระยะต่อไปด้วย

สำหรับรายละเอียดการปรับปรุง ประกอบด้วย ภายนอกตู้ SRT Royal Blossom ถูกแต่งแต้มสีสันภายนอกด้วยสีแดงเชอรี่ คาดทอง ส่วนภายนอกตัวรถ ได้มีการทำสีใหม่ให้เป็นเฉดสีแดงคาดลายสีทอง ซึ่งเป็นสีของกลีบดอกไม้ ที่มีความสวยงาม และเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของขบวนรถไฟท่องเที่ยวชุดนี้ ส่วนด้านหน้าและด้านข้างตัวรถจะมีสัญลักษณ์เป็นโลโก้ “STATE RAILWAY OF THAILAND ROYAL BLOSSOM SINCE – 2022 คู่กับดอกราชพฤกษ์ ซึ่งเป็นดอกไม้ประจำรัชกาลที่ 10 ถูกวางบนหน้าปัดนาฬิกา ตัวเลขโรมัน เข็มนาฬิกาชี้ไปที่ตัวเลข 13 เป็นการเปรียบเทียบถึงการเดินทางครั้งใหม่ของ Hamanasu จนเป็น SRT Royal Blossom ซึ่งจะสร้างช่วงเวลาแห่งความสุขและความพิเศษที่จะเกิดขึ้นกับการเดินทางท่องเที่ยวด้วยรถไฟในประเทศไทย

ในส่วนของการตกแต่งภายในตัวรถ ได้ทำการตกแต่งด้วยความพิถีพิถัน โดยทำเบาะหุ้มที่นั่งใหม่เป็นเบาะกำมะหยี่ เปลี่ยนผ้าม่านที่สามารถปรับระดับได้ เปลี่ยนหลอดไฟให้เป็นหลอด LED รวมถึง ส่วนประกอบหลักของงานตกแต่งที่ทำจากไม้สนซีดาร์ เป็นเนื้อไม้ที่มีความสวยงามและทนทานต่อการใช้งาน การติดตั้งบันไดทางขึ้น-ลง ที่ใช้สำหรับรองรับชานชาลาสูงและต่ำ โดยใช้วัสดุจากไม้สักและคลิบด้วยทองเหลืองแท้ที่พับเก็บได้ ตลอดจนการออกแบบหน้าต่างพร้อมกรอบโลหะสีทอง ที่มีขนาดความกว้างพิเศษ สามารถชมวิวทิวทัศน์ได้กว้างกว่ารถโดยสารทั่วไป และยังติดตั้งเครื่องฟอกอากาศทุกตู้

ขณะที่งานด้านเทคนิค มีการปรับปรุงระบบห้ามล้อ และปรับปรุงแคร่และความกว้างของเพลาล้อใหม่ จากเดิม 1.067 เมตร ให้เป็นขนาด 1 เมตร ตามมาตรฐานทางรถไฟไทย การปรับปรุงระบบปรับอากาศ การปรับปรุงระบบไฟฟ้าโดยใช้เครื่องยนต์จากรถ Power Car ในการจ่ายกระแสไฟฟ้า ซึ่งช่วยลดมลภาวะทางเสียงและอากาศ เปลี่ยนปลั๊กไฟจาก 110 โวลต์ ที่ใช้ในประเทศญี่ปุ่น ให้เป็น 220 โวลต์ โดยได้ติดตั้งปลั๊กแบบมาตรฐาน และ USB Port เพื่อความสะดวกสบายในการใช้งาน และเปลี่ยนห้องสุขาให้เป็นระบบสุญญากาศระบบเดียวกับเครื่องบิน เปลี่ยนถังเก็บน้ำให้มีขนาดใหญ่กว่าเดิม รวมถึงเปลี่ยนชุดหัวสูบถ่ายจากถังเก็บสิ่งปฏิกูลที่สามารถใช้ร่วมกับรถโดยสารอื่นได้

สำหรับตู้โดยสารทั้ง 5 คัน แบ่งออกเป็น

ตู้ที่ 1 Group Car จำนวน 1 คัน โดยดัดแปลงให้เป็นห้องโดยสารแบบกลุ่มส่วนตัว จำนวน 4 ห้อง ซึ่งแต่ละห้องสามารถรองรับได้ 4-6 คน สามารถชมวิวทิวทัศน์ได้กว่า 180 องศา ประตูเซนเซอร์ มีทางเดินที่กว้างขวาง สะดวกสบายรองรับรถวีลแชร์ นอกจากนี้ ยังมีมีลิฟต์ขนาดใหญ่ จำนวน 2 ตัว และห้องน้ำสำหรับรองรับผู้พิการด้วย

ตู้ที่ 2 รถโดยสาร Passenger Car จำนวน 3 คัน โดยดัดแปลงเป็นห้องโดยสารแบบรวม มีทั้งหมด 48 ที่นั่ง/คัน โดยที่นั่งมีทั้งแบบหันหน้าเข้าหาหน้าต่างเพื่อชมวิว หรือปรับเบาะหันหน้าเข้าหากันเพื่อทำกิจกรรมในกลุ่มเพื่อนได้ พร้อมทั้งช่องเสียบสาย USB ทุกที่นั่ง ซึ่งแต่ละตู้จะมีเบาะที่นั่งที่มีสีสันต่างกัน สื่อถึงการเดินทางในแต่ละครั้ง ผู้โดยสารจะได้รับความประทับใจที่แตกต่างกันในแต่ละช่วงเวลา เปรียบเหมือนการเบ่งบานของดอกไม้ในแต่ละฤดูกาล นอกจากนี้ ยังมีอีก 8 ที่นั่งที่แยกออกมาสำหรับผู้ที่ต้องการความเป็นส่วนตัว

ตู้ที่ 3 รถโดยสาร Leisure Car จำนวน 1 คัน โดยดัดแปลงให้เป็นรถเสบียง สำหรับให้บริการอาหารและเครื่องดื่มที่ผู้โดยสารสามารถมาใช้บริการหรือซื้อกลับไปรับประทานที่ตู้โดยสารได้ ภายในออกแบบเคาน์เตอร์บาร์ให้อยู่ตรงกลางทำให้ผู้โดยสารสามารถเดินด้านข้างได้ทั้ง 2 ด้าน มีพื้นที่กว้างขวางสามารถทำกิจกรรมร่วมกันได้ และกระจกมีขนาดใหญ่เป็นพิเศษสามารถนั่งชมวิวทิวทัศน์ได้อย่างสบาย นอกจากนี้ บริเวณด้านท้ายตู้มีพื้นที่โล่งที่ให้นักท่องเที่ยวสามารถมายืดเส้นยืดสายพักผ่อนอริยาบถได้อีกด้วย

*** ย้อนประวัติ จาก “Hamanasu” สู่ “Royal Blossom ***

โดยตู้รถโดยสารชนิดนั่งปรับอากาศ Hamanasu ของประเทศญี่ปุ่น ผลิตเมื่อปี 2531 เคยให้บริการเป็นขบวนรถด่วนที่มีชื่อว่า Hamanasu เส้นทางเชื่อมระหว่างเกาะฮอกไกโดข้ามไปเกาะฮอนชู จากสถานีซับโปโรไปถึงสถานีอะโอโมริ และให้บริการเที่ยวสุดท้ายที่เกาะฮอกไกโด ประเทศญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2559 โดยชื่อ Hamanasu หรือที่เรียกอีกอย่างว่า ดอกกุหลาบญี่ปุ่น ถือเป็นดอกไม้ประจำเกาะฮอกไกโดนั่นเอง

อย่างไรก็ตาม การรถไฟฯ มุ่งหวังว่า การเปิดให้บริการขบวนรถไฟท่องเที่ยวใหม่ SRT Royal Blossom จะเป็นส่วนสำคัญในการช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในประเทศ และสร้างรายได้ให้แก่การรถไฟฯ ตลอดจนเป็นการเปิดประสบการณ์เดินทางใหม่ๆ ให้กับนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศให้เกิดความประทับใจ รงมถึงช่วยสร้างงาน สร้างอาชีพให้กับชุมชนในพื้นที่ใกล้เคียงทางรถไฟ ให้มีรายได้เพิ่มขึ้น สร้างความเข้มแข็งต่อเศรษฐกิจฐานรากได้อย่างยั่งยืนสืบไป