‘ขนส่งฯ-การรถไฟ’ ผนึกกำลังบูรณาการเชื่อมโยงขนส่งสินค้าทางถนน-ทางราง ประเดิมนำร่อง 2 โปรเจกต์ คาดเริ่มได้ในปี 71

”ขนส่งฯ“ ผนึก “การรถไฟ” สนองนโยบายรัฐ บูรณาการเชื่อมโยงขนส่งสินค้าทางบก-ทางรางอย่างไร้รอยต่อ นำร่อง 2 โปรเจกต์ “ศูนย์เปลี่ยนถ่ายรูปแบบการขนส่งสินค้าเชียงของ-ศูนย์การขนส่งชายแดนจังหวัดนครพนม” คาดเชื่อมต่อได้ในปี 71 บูมนำเข้า-ส่งออก เชื่อมไทย-สปป.ลาว-เวียดนาม-จีน

นายสุรพงษ์ ปิยะโชติ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยภายหลังเป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) การบูรณาการเชื่อมโยงโครงข่ายระบบการขนส่งสินค้า เพื่อรองรับการเปลี่ยนรูปแบบการขนส่งระหว่างทางบกกับทางรางอย่างไร้รอยต่อ ระหว่างกรมการขนส่งทางบก (ขบ.) กับ การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) วันนี้ (24 พ.ย. 2566) ว่า การ MOU ในวันนี้ เป็นไปตามนโยบายของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ในการเชื่อมต่อการขนส่งสินค้าจากถนนสู่ระบบรางอย่างไร้รอยต่อ ลดระยะเวลา และลดต้นทุนด้านโลจิสติกส์ หลังจากที่รัฐบาลได้ลงทุนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานมูลค่ามหาศาล

ทั้งนี้ การบูรณาการระหว่าง ขบ. และ รฟท.นั้น ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี โดยจะนำร่อง 2 โครงการ คือ โครงการศูนย์เปลี่ยนถ่ายรูปแบบการขนส่งสินค้าเชียงของ จังหวัดเชียงราย และโครงการศูนย์การขนส่งชายแดนจังหวัดนครพนม ก่อนที่จะขยายไปยังโครงการอื่นๆ ต่อไป อย่างไรก็ตาม การเปิดให้บริการทั้ง 2 โครงการดังกล่าว จะให้บริการแบบเบ็ดเสร็จในจุดเดียว (One Stop Service)

ด้านนายจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดี ขบ. กล่าวว่า ขบ. มีแผนลงทุนพัฒนาสถานีขนส่งสินค้า (Truck Terminal) สนับสนุนการขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบและรองรับการเชื่อมต่อการขนส่งกับระบบราง ของ รฟท. ที่ได้ลงทุนพัฒนาโครงข่ายระบบรางให้มีความครอบคลุมทั่วประเทศ โดยเฉพาะโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ และโครงการก่อสร้างทางรถไฟสายใหม่ ซึ่งจะดำเนินการก่อสร้างย่านกองเก็บตู้สินค้า (Container Yard) เพื่อรวบรวมและกระจายสินค้าระหว่างทางถนนกับทางราง รองรับการเชื่อมต่อในระดับภูมิภาค ช่วยสร้างโครงข่ายการขนส่งที่มีประสิทธิภาพ เพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศ นำไปสู่การลดต้นทุนการขนส่งสินค้าและต้นทุนทางด้านโลจิสติกส์ของผู้ประกอบการขนส่งและเจ้าของสินค้า รวมถึงภาพรวมด้านเศรษฐกิจของประเทศ

ทั้งนี้ ที่ผ่านมาทั้ง 2 หน่วยงานบูรณาการการทำงานร่วมกันอย่างต่อเนื่อง และจัดทำ MOU ครั้งนี้ เพื่อแสดงเจตนารมณ์ความมุ่งมั่นร่วมกันจะยกระดับความร่วมมืออย่างเป็นรูปธรรม บูรณาการเชื่อมโยงโครงข่ายระบบการขนส่งสินค้า เพื่อรองรับการเปลี่ยนรูปแบบการขนส่ง (Modal Shift) ระหว่างทางบกกับทางราง และกิจกรรมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง อย่างไร้รอยต่อ สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลและกระทรวงคมนาคม ต้องการให้ลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่งทุกระบบ สามารถเชื่อมต่อระหว่างกันอย่างไร้รอยต่อ เพื่ออำนวยความสะดวกให้ประชาชน เปิดประตูค้าขาย และเปิดโอกาสประเทศไทยเพิ่มขึ้น

นายจิรุตม์ กล่าวต่อว่า ขอบเขต MOU ฉบับนี้ กำหนดให้ ขบ. และ รฟท. สนับสนุนและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและระบบการขนส่งสินค้าตามขอบเขตอำนาจหน้าที่ของแต่ละหน่วยงาน เพื่อให้รองรับการเปลี่ยนรูปแบบการขนส่งระหว่างทางบกกับทางราง ณ สถานีขนส่งสินค้า (Truck Terminal) หรือย่านกองเก็บตู้สินค้า (Container Yard) หรือศูนย์เปลี่ยนถ่ายสินค้า (Transshipment Yard) ที่อยู่ระหว่างดำเนินการในปัจจุบันและมีแผนจะดำเนินการในอนาคตได้อย่างไร้รอยต่อ

สำหรับในปัจจุบัน ขบ. มีโครงการพัฒนาสถานีขนส่งสินค้า 2 โครงการ ได้แก่ 1.โครงการศูนย์เปลี่ยนถ่ายรูปแบบการขนส่งสินค้าเชียงของ จ.เชียงราย วงเงิน 2,864 ล้านบาท แบ่งเป็น งบก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานระยะ (เฟส) ที่ 1 วงเงิน 1,300 ล้านบาท ซึ่งได้ก่อสร้างเสร็จ และเปิดใช้บริการแล้ว และงบก่อสร้างเฟส 2 วงเงิน 649 ล้านบาท อยู่ระหว่างดำเนินการมีความคืบหน้า 1% คาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 68 เพื่อรองรับโครงการรถไฟทางคู่ สายเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ คาดแล้วเสร็จในปี 71

ขณะเดียวกัน ดำเนินการกระบวนการคัดเลือกเอกชน ตามขั้นตอนของกฎหมายว่าด้วยการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน (PPP) อยู่ระหว่างอัยการตรวจร่างสัญญา จากนั้นจะลงนามสัญญากับเอกชน และให้เอกชนเข้ามาบริหารศูนย์ฯ ช่วงเดือน เม.ย. 67 และ 2.โครงการศูนย์การขนส่งชายแดน จ.นครพนม วงเงิน 1,361 ล้านบาท อยู่ระหว่างการก่อสร้างทั้งในส่วนที่ภาครัฐและเอกชนรับผิดชอบ ปัจจุบันมีความคืบหน้า 32.6% คาดเปิดให้บริการในปี 68 เพื่อรองรับโครงการรถไฟทางคู่ สายบ้านไผ่-นครพนม จะแล้วเสร็จในปี 71 นอกจากนี้ ขบ. มีแผนจะก่อสร้างสถานีขนส่งสินค้า จ.สุราษฎร์ธานี และ ก่อสร้างสถานีขนส่งสินค้า จ.มุกดาหาร ซึ่งมีแนวเส้นทางโครงการรถไฟทางคู่ สายบ้านไผ่-นครพนม ผ่านด้วย รวมถึงการพัฒนาศูนย์เปลี่ยนถ่ายสินค้านาทา จ.หนองคาย ซึ่ง รฟท. จะเป็นผู้รับผิดชอบ และใช้รูปแบบดังกล่าวบริหารจัดการต่อไป

นายจิรุตม์ กล่าวอีกว่า สำหรับการบูรณาการระหว่าง ขบ. และ รฟท.ในครั้งนี้ จะช่วยสร้างประโยชน์ให้กับประเทศไทยในอนาคต 3 มิติ ประกอบด้วย มิติที่ 1 ศูนย์เปลี่ยนถ่ายรูปแบบการขนส่งสินค้า จะเป็นประตูการค้า สนับสนุนการนำเข้าและส่งออกไปยังประเทศเพื่อนบ้าน เช่น สปป.ลาว เวียดนาม จีนตอนใต้ เป็นต้น โดยจะเปลี่ยนรูปแบบการขนส่งจากทางถนนไปสู่ระบบราง กล่าวคือ การส่งออก จะใช้ระบบรางขนส่งสินค้าจากประเทศไทยไปยังศูนย์เปลี่ยนถ่ายฯ ก่อนจะข้ามแดนและขนถ่ายไปยังรถบรรทุก เช่นเดียวกับขาเข้า ที่จะขนส่งทางรถบรรทุกจากจีน-เวียดนาม และเปลี่ยนถ่ายมาสู่ระบบรางเข้าสู่ประเทศไทย

ขณะที่ มิติที่ 2 ประโยชน์ด้านการเปลี่ยนถ่ายสินค้า (Transshipment) ผ่านประเทศไทย ไปยังประเทศที่ 3 โดยเชื่อมไปยังพื้นที่ระเบียงเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งเป็นการพัฒนาการค้าตามนโยบายของรัฐบาล ก่อนที่จะขนส่งไปที่ท่าเรือแหลมฉบัง (ทลฉ.) ไปยังประเทศอื่นๆ และมิติที่ 3 สนับสนุนการขนส่งวัตถุดิบต่างๆ ผ่านแดนมายังประเทศไทย ก่อนจะนำมาแปรรูปในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรม อาทิ จ.ชลบุรี และ EEC จากนั้นเชื่อมต่อไปยัง ทลฉ. เพื่อส่งออกต่อไป

ส่วนนายนิรุฒ มณีพันธ์ ผู้ว่า รฟท. กล่าวว่า นโยบายการเพิ่มขีดความสามารถการขนส่งทางรางเป็นสิ่งที่พิสูจน์แล้วว่าเป็นระบบขนส่งหลักในด้านโลจิสติกส์ของประเทศ ขณะเดียวกันการจะต้องเชื่อมโยงร่วมกับหน่วยงานอื่นๆ โดย MOU ครั้งนี้ จะเป็นความร่วมมือต้นแบบที่สำคัญ เพื่อส่งเสริมรูปแบบการขนส่งระหว่างทางบกและทางรางอย่างไร้รอยต่อ ช่วยลดค่าใช้จ่ายและเพิ่มความสะดวกสบาย นำไปสู่การใช้ระบบรางมากขึ้น ปัจจุบันรัฐส่งเสริมการลงทุนและระบบโครงสร้างพื้นฐานเพิ่มงบประมาณเพื่อดำเนินการในส่วนต่างๆ ของ รฟท. ซึ่งถือเป็นยุทธศาสตร์ของประเทศและการค้า ช่วยลดต้นทุนการขนส่งของประเทศอย่างเป็นรูปธรรม

อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมา รฟท. และ ขบ.ได้ทำงานบูรณาการร่วมกันในด้านการเชื่อมต่อระบบ, การออกแบบ รวมถึงการใช้ที่ดิน เพื่อสานต่อในการลงนาม MOU ให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด ขณะนี้ รฟท. มี 2 โครงการที่อยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้าง โดยอาศัยร่วมมือกับการเชื่อมระบบขนส่งทางถนนและทางราง ประกอบด้วย 1.โครงการรถไฟทางคู่สายใหม่ ช่วงเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ และ 2.โครงการรถไฟทางคู่สายใหม่ ช่วงบ้านไผ่-มุกดาหาร-นครพนม คาดว่าจะเปิดให้บริการในปี 71 จะช่วยเพิ่มศักยภาพและมาตรฐานด้านการขนส่งสินค้าเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ

นอกจากนี้ รฟท. ยังมีเส้นทางรถไฟไทย-ลาว ที่เชื่อมโยงด้านโลจิสติกส์จากสถานีรถไฟหนองคาย (ไทย)-ท่านาแล้ง (สปป.ลาว) ปัจจุบัน รฟท. มีแผนจะขยายเส้นทางไปยังสถานีรถไฟเวียงจันทน์ (คำสะหวาด) ประมาณ 7.5 กิโลเมตร (กม.) ซึ่งอยู่ระหว่างติดตั้งระบบอาณัติสัญญาณ ขณะที่ สปป.ลาว อยู่ระหว่างฝึกอบรมบุคลากรเช่นกัน

“การจัดทำ MOU ในวันนี้เป็นการยืนยันว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ให้ความสำคัญในการสนับสนุนส่งเสริมการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบรางที่กระทรวงคมนาคมได้ลงทุนไปเป็นจำนวนมาก เพื่อให้สามารถตอบโจทย์การใช้งานของผู้ประกอบการขนส่งและเจ้าของสินค้าได้อย่างแท้จริง” นายนิรุฒ กล่าว