‘คมนาคม’ ผนึก ก.ต่างประเทศ บูรณาการแผนรับคนไทยกลับจาก ‘อิสราเอล’ แจ้ง 3 สายการบินพร้อมรับกลับภายใน 3 วัน รอเคาะจำนวน-พื้นที่ขึ้นเครื่องฯ

“คมนาคม” ผนึก “ก.ต่างประเทศ” สรุปแผนบูรณาการ พร้อมอพยพคนไทยออกจากอิสราเอล สนองข้อสั่งการนายกฯ เร่งเคาะจำนวน-พื้นที่นัดหมายขึ้นเครื่องฯ ก่อนประสาน 3 สายการบิน แจ้งช่วยพาคนไทยกลับประเทศ ลั่น! ไปรับได้ภายใน 3 วัน สั่ง กพท.ประสาน “การบินอิสราเอล-ประเทศอื่นๆ“ ขออนุญาตทำการบินผ่าน

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศ กองบัญชาการกองทัพไทย และสายการบิน เพื่อสรุปแผนอพยพคนไทยกว่า 5,000 คน ที่แจ้งความประสงค์กลับประเทศ วันนี้ (12 ต.ค. 2566) ว่า การหารือในวันนี้ เพื่อประเมินสถานการณ์ในประเทศอิสราเอลในขณะนี้ และสรุปแผนเตรียมความพร้อมการอพยพนำคนไทยกลับประเทศ ตามบัญชาของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ซึ่งมีความห่วงใยต่อคนไทยที่ยังติดอยู่ในสถานการณ์การสู้รบให้กลับสู่ประเทศไทยโดยเร็วที่สุด


ทั้งนี้ ได้รับรายงานจาดนายณรงค์ บุญเสถียรวงศ์ รองอธิบดีกรมการกงสุล ผู้แทนกระทรวงการต่างประเทศ ระบุว่า ขณะนี้สถานการณ์การสู้รบขยายวงกว้างออกไปมาก ส่งผลต่อการเดินทางไปยังจุดต่างๆ เกือบทุกแห่ง ทำให้การรวบรวมคนงานไทยไปยังสถานที่ปลอดภัย เพื่อเตรียมการลำเลียงขึ้นเครื่องบินกลับประเทศรวมทั้งการเดินทางไปยังสนามบินเทลอาวีฟ ซึ่งเป็นสนามบินแห่งเดียวในอิสราเอลที่ยังคงเปิดใช้งานอยู่ยังเป็นไปด้วยความยากลำบาก

นายสุริยะ กล่าวต่อว่า กระทรวงการต่างประเทศยังคงใช้ความพยายามทุกวิถีทางในขณะนี้เพื่อรวบรวมคนไทยทั้งหมด ซึ่งรวมทั้งการเปิดศูนย์ฉุกเฉินทำงานตลอด 24 ชั่วโมง (ชม.) ในขณะที่การเตรียมความพร้อมด้านเที่ยวบิน ขณะนี้มีสายการบินของไทยอย่างน้อย 3 สายการบินที่แสดงถึงความพร้อมสำหรับปฏิบัติการรับคนไทยกลับประเทศ ได้แก่ สายการบินไทยแอร์เอเชีย การบินไทย และนกแอร์

โดยทั้ง 3 สายการบินดังกล่าวนั้น จะสามารถเดินทางไปรับได้ภายใน 3 วัน เมื่อได้มีการกำหนดแผนและสนามบินที่จะใช้เป็นจุดรับคนไทยเป็นที่ชัดเจนแล้ว โดยอาจเป็นทั้งที่สนามบินเทลอาวีฟ หรือสนามบินอื่นๆ ภายนอกประเทศอิสราเอลที่มีความปลอดภัย ดังนั้น ในขั้นนี้ จึงขึ้นอยู่กับความพร้อมในการรวบรวมคนไทยในประเทศอิสราเอลที่จะดำเนินการโดยกระทรวงการต่างประเทศเป็นสำคัญ เพื่อให้ทราบทั้งจำนวนและสนามบินที่จะใช้เป็นจุดรับ

ทั้งนี้ ในส่วนของการขออนุญาตทำการบินเพื่อการส่งกลับประเทศ (Repatriation Flight) ซึ่งจะต้องขออนุญาตทั้งประเทศปลายทางและประเทศที่บินผ่านเป็นกรณีพิเศษนั้น ที่ประชุมได้สรุปให้กระทรวงการต่างประเทศเป็นผู้ดำเนินการประสานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงเทลอาวีฟ เพื่อยื่นขออนุญาตเป็นทางการกับอิสราเอล รวมทั้งประสานเอกอัครราชทูตไทยประจำประเทศอื่นๆ อาทิ ประเทศจอร์แดน ในกรณีที่มีแผนจะให้เครื่องบินไปรับนอกเขตแดนของอิสราเอลที่มีพรมแดนติดกัน

นอกจากนี้ ประสานประเทศระหว่างทางที่เที่ยวบินพิเศษนี้จะต้องทำการบินผ่าน เพื่ออำนวยความสะดวกตลอดเส้นทาง ซึ่งเป็นแนวปฏิบัติสากลระหว่างรัฐต่อรัฐในกรณีดังกล่าว ทั้งนี้ ในเบื้องต้นสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) ได้มีหนังสือแจ้งไปยังสำนักงานการบินแห่งอิสราเอล (CAAI) ทราบล่วงหน้าแล้ว

นายสุริยะ กล่าวอีกว่า จากผลการหารือสรุปได้ว่า กระทรวงการต่างประเทศจะเร่งดำเนินการรวบรวมคนไทยและสรุปจำนวนและสถานที่นัดหมายรับคนไทย เพื่อแจ้งให้กระทรวงคมนาคมทราบ เพื่อกำหนดแผนเที่ยวบินให้กับสายการบินทราบต่อไป ส่วนแผนการขนส่งคนไทยกลับประเทศจะกำหนดไว้เป็น 2 แนวทางร่วมกัน ทั้งการบินตรงจากสนามบินต้นทางสู่ประเทศไทย และการอพยพคนไทยออกจากอิสราเอลไปยังประเทศที่ปลอดภัย เช่น ดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ อินเดีย เป็นต้น ซึ่งเป็นการบินระยะสั้น สามารถดำเนินการขนคนไทยได้จำนวนมากในเวลาที่รวดเร็วกว่าก่อนที่จะจัดเครื่องบินพาณิชย์เดินทางกลับสู่ประเทศไทยต่อไป

อย่างไรก็ตาม จึงถือได้ว่าการเตรียมความพร้อมทุกด้าน ทั้งเครื่องบินและการประสาน เพื่อขออนุญาตทำการบินกับประเทศต่างๆ ครบถ้วนแล้ว จึงเหลือเพียงความสำเร็จของการรวบรวมคนไทยไปยังจุดต่างๆ เพื่อกำหนดจุดรับต่อไปทันที ซึ่งตนได้ขอให้ทางกระทรวงการต่างประเทศดำเนินการและแจ้งความคืบหน้าทันทีที่สามารถเริ่มปฏิบัติการบินตามแผนได้