‘การรถไฟฯ’ ตั้งธงสร้าง ‘ทางคู่’ 50 จังหวัดทั่วไทย 3,000 กม. ภายในปี 72 วิ่งขนส่งผู้โดยสารความเร็ว 100-120 กม./ชม.

การรถไฟฯวางเป้าสร้างทางคู่ทั่วไทย 50 จังหวัด รวมระยะทาง 3,000 กม. ภายในปี 72 รองรับขบวนรถเพิ่มขึ้น 2 เท่า วิ่งขนส่งผู้โดยสารความเร็ว 100-120 กม./ชม. พร้อมอัปเดทความก้าวหน้าก่อสร้างรถไฟทางคู่ระยะเร่งด่วน จ่อเปิดให้บริการนครปฐมสะพลี” 400 กม. ใน ..นี้ ครบทั้งเส้นทาง 597 กม. ภายใน .. 66

นายเอกรัช ศรีอาระยันพงษ์ หัวหน้าสำนักงานผู้ว่าการ การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เปิดเผยถึงความก้าวหน้าโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ระยะเร่งด่วนว่า ตามที่การรถไฟฯ ได้ลงนามสัญญาโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ 7 เส้นทาง และโครงการก่อสร้างทางรถไฟสายใหม่ 2 เส้นทาง ตามแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ด้านคมนาคมขนส่งของไทย .. 2558–2565 นั้น ขณะนี้ การดำเนินโครงการต่างๆ มีความก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว ตามนโยบายของนายนิรุฒ มณีพันธ์ ผู้ว่าการรถไฟฯ ดังนี้ โครงการดำเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จและเปิดให้บริการได้แล้ว 2 โครงการ ได้แก่

  1. โครงการช่วงชุมทางฉะเชิงเทราคลองสิบเก้าแก่งคอย
  2. โครงการช่วงชุมทางถนนจิระขอนแก่น

ส่วนโครงการที่อยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้างและใกล้แล้วเสร็จ จำนวน 3 โครงการ ได้แก่

  1. โครงการช่วงนครปฐมหัวหิน สัญญา 1 นครปฐมหนองปลาไหล ระยะทาง 93 กิโลเมตร (กม.) ผลงาน 97.183% ส่วนสัญญา 2 หนองปลาไหลหัวหิน ระยะทาง 76 กม. ผลงาน 97.535%
  2. โครงการช่วงหัวหินประจวบคีรีขันธ์ ระยะทาง 84 กม. ผลงาน 99.999%
  3. โครงการช่วงประจวบคีรีขันธ์ชุมพร สัญญา 1 ประจวบคีรีขันธ์บางสะพานน้อย ระยะทาง 88 กม. ผลงาน93.510%, สัญญา 2 บางสะพานน้อยชุมพร ระยะทาง 79 กม. ผลงาน 96.523% และส่วนงานระบบอาณัติสัญญาณสายใต้ ระยะทาง 420 กม. ผลงาน 48.147%

ทั้งนี้ ในภาพรวมของทั้ง 3 โครงการ ในส่วนของงานโยธาได้ดำเนินการใกล้เสร็จครบทั้งหมด และเริ่มมีการทดลองเปิดใช้ทางคู่ใหม่บางช่วง เพื่อทดสอบระบบทางไปแล้ว จากนั้นการรถไฟฯ มีแผนเปิดใช้งานจริงช่วง .. 2566 โดยเริ่มจากสถานีนครปฐม ถึงสถานีสะพลี .ปะทิว .ชุมพร ระยะทางประมาณ 400 กม. จากนั้นจะขยายไปจนถึงปลายทางที่สถานีชุมพรในปลาย .. 2566 ซึ่งจะดำเนินการคู่ขนานไปกับงานติดตั้งระบบอาณัติสัญญาณและโทรคมนาคมและตั้งเป้าหมายจะเปิดใช้งานได้เต็มระบบภายในปี 2568

นายเอกรัช กล่าวต่อว่า โครงการรถไฟที่อยู่ระหว่างก่อสร้างอีก 2 โครงการ ได้แก่

  1. โครงการช่วงลพบุรีปากน้ำโพ สัญญา 1 บ้านกลับโคกกะเทียม ระยะทาง 32 กม. ผลงาน 86.67%, สัญญา 2 ท่าแคปากน้ำโพ ระยะทาง 116 กม. ผลงาน 78.44% ส่วนงานระบบอาณัติสัญญาณ สายเหนือ ระยะทาง 148 กม. ผลงาน 32.160%
  2. โครงการช่วงมาบกะเบาชุมทางถนนจิระ สัญญา 1 มาบกะเบาคลองขนานจิตร ระยะทาง 58 กม. ผลงาน96.220%, สัญญา 2 คลองขนานจิตรชุมทางถนนจิระ1 ระยะทาง 69 กม. ยังไม่ได้ลงนามสัญญา, สัญญา 3 อุโมงค์รถไฟ ระยะทาง 5 กม. ผลงาน 98.137% ส่วนงานระบบอาณัติสัญญาณ สายตะวันออกเฉียงเหนือ ระยะทาง 132 กม. ผลงาน 21.560%

นายเอกรัช กล่าวอีกว่า โครงการก่อสร้างทางรถไฟสายใหม่ 2 โครงการที่อยู่ระหว่างดำเนินการ ในช่วงเด่นชัยเชียงรายเชียงของ และช่วงบ้านไผ่มุกดาหารนครพนม ขณะนี้ มีแผนก่อสร้างอยู่ระหว่างดำเนินการ 4 สัญญา ดังนี้

  1. เด่นชัยเชียงรายเชียงของ สัญญา 1 ช่วงเด่นชัยงาว ระยะทาง 103 กม. ผลงาน 0.934%, สัญญา 2 ช่วงงาวเชียงราย ระยะทาง 132 กม. ผลงาน 2.157%, สัญญา 3 ช่วงเชียงรายเชียงของ ระยะทาง 87 กม. ผลงาน 1.485%
  2. บ้านไผ่มหาสารคามร้อยเอ็ดมุกดาหารนครพนม สัญญา 1 ช่วงบ้านไผ่หนองพอก ระยะทาง 180 กมผลงาน0.112%, สัญญา 2 ช่วงหนองพอกสะพานมิตรภาพ 3 ระยะทาง 175 กมผลงาน 0.007%

นายเอกรัช กล่าวต่ออีกว่า เมื่อการก่อสร้างโครงการรถไฟทางคู่ระยะเร่งด่วน 7 เส้นทาง และเส้นทางสายใหม่ 2 เส้นทางแล้วเสร็จ จะช่วยเพิ่มสัดส่วนทางคู่ทั่วประเทศมากถึง 10 เท่า หรือคิดเป็น 65% ของระยะทางรวมทั้งหมด มากกว่าเดิมที่มีทางคู่เพียง 6% อีกทั้งยังช่วยร่นระยะเวลาการเดินทางได้ 1–1.50 ชั่วโมง รองรับปริมาณการขนส่งสินค้าและการขนส่งผู้โดยสารที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยปรับเปลี่ยนรูปแบบการขนส่งจากถนนสู่การขนส่งทางรางที่มีต้นทุนต่ำกว่า ตลอดจนเชื่อมโยงกับขนส่งกับประเทศเพื่อนบ้านได้ด้วย

นอกจากนี้ การรถไฟฯ ยังอยู่ระหว่างจัดทำโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ระยะที่ 2 เพิ่มเติมอีก 7 เส้นทาง ได้แก่ ช่วงปากน้ำโพเด่นชัย, ช่วงขอนแก่นหนองคาย, ช่วงชุมทางถนนจิระอุบลราชธานี, ช่วงชุมพรสุราษฎร์ธานี, ช่วงสุราษฎร์ธานีชุมทางหาดใหญ่สงขลา และช่วงชุมทางหาดใหญ่ปาดังเบซาร์  ซึ่งขณะนี้ ได้เตรียมการจัดทำข้อมูลเพื่อรอเสนออนุมัติโครงการแล้ว ส่วนโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ช่วงเด่นชัยเชียงใหม่ อยู่ระหว่างการจัดทำข้อมูลเพื่อเสนอขออนุมัติโครงการ รวมถึงกำลังทำการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) เช่นกัน

อย่างไรก็ตาม หากโครงการรถไฟทางคู่ระยะที่ 2 ดำเนินการแล้วเสร็จ จะทำให้การรถไฟฯ มีรถไฟทางคู่ครอบคลุมการเดินทางได้มากกว่า 50 จังหวัดทั่วประเทศ มีเส้นทางคู่รวมกันมากกว่า 3,000 กม. ภายในปี 2572 ซึ่งจะสามารถรองรับขบวนรถได้เพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่า 2 เท่าตัว สามารถทำความเร็วในการขนส่งสินค้าได้จากเดิม 29 กม./ชม. เป็น60 กม./ชม. และทำความเร็วในการขนส่งผู้โดยสารเพิ่มจากเดิม 50 กม./ชม. เป็น 100-120 กม./ชม.

ทั้งนี้ ไม่ต้องเสียเวลาในการรอหลีกขบวนรถ ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนการขนส่งด้านโลจิสติกส์ ได้มหาศาล อีกทั้งยังช่วยเพิ่มความปลอดภัย ลดความเสี่ยงการเกิดอุบัติเหตุบริเวณจุดตัดทางเสมอระดับรถไฟรถยนต์ ที่สำคัญรถไฟทางคู่ยังช่วยกระจายโอกาสทางสังคม การเติบโตทางเศรษฐกิจสู่ภูมิภาคต่างๆ ตลอดจนยกระดับคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของคนไทย และพลิกโฉมการคมนาคมขนส่งของประเทศ ให้กลายเป็นศูนย์กลางด้านคมนาคมของภูมิภาคอาเซียนได้ต่อไป