‘คมนาคม’ พร้อมให้บริการผู้โดยสารเข้า-ออก จัดเต็ม ตม. 119 ช่อง ระบายผู้โดยสาร ชม.ละ 7 พันคน ยันประชุม APEC 2022 การันตีอำนวยความสะดวกเต็มที่

คมนาคม” เตรียมความพร้อมการให้บริการผู้โดยสารขาเข้าขาออก จัดเต็มช่อง ตม. 119 ช่อง ระบายผู้โดยสาร 7 พันคน/ชม. คาดปี 66 มีผู้โดยสารเฉลี่ยวันละ 2 แสนคน จากปัจจุบัน 1-1.2 แสนคน/วัน ส่วนการประชุม APEC 2022 การันตีอำนวยความสะดวกเต็มที่ เพิ่ม 19 ช่องตรวจ รองรับผู้นำ & ผู้เข้าร่วมประชุม พ่วงสแตนบายหลุมจอด@สุวรรณภูมิ 120 หลุมจอด-@ดอนเมือง 101 หลุมจอด

นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยภายหลังตรวจเยี่ยมการเตรียมความพร้อมการให้บริการผู้โดยสารขาเข้าและขาออก และการเตรียมความพร้อมการอำนวยความสะดวก ในโอกาสที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมความร่วมมือทางเศรษฐกิจในเอเชียแปซิฟิก (Asia-Pacific Economic Cooperation : APEC) หรือเอเปค 2022 (APEC 2022) ระหว่างวันที่ 14-19 .. 2565 ว่า กระทรวงคมนาคมได้เร่งแก้ปัญหาความแอแออัดของผู้โดยสารในพื้นที่ท่าอากาศยานตามนโยบายรัฐบาล โดยได้ตรวจความพร้อมการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ในขั้นตอนการให้บริการและการอำนวยความสะดวกผู้โดยสาร ให้ความคล่องตัวและให้บริการได้รวดเร็ว

สำหรับจุดตรวจคนเข้าเมืองท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ได้มีการประสานการทำงานกับสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง(ตม.) อย่างใกล้ชิดเพื่อบริหารจัดการการให้บริการผู้โดยสารเป็นไปด้วยความรวดเร็วยิ่งขึ้น โดยเน้นย้ำให้ ทอท. วิเคราะห์คาดการณ์ปริมาณความต้องการการเดินทางและเที่ยวบินที่เกิดขึ้นในแต่ละช่วงเวลา พร้อมประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อบริหารจัดการทรัพยากรต่างๆ ให้การบริการเกิดความสะดวกรวดเร็วแก่ผู้เดินทาง และเกิดประสิทธิภาพสูงสุด โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่มีจำนวนเที่ยวบินหนาแน่น เพื่อลดความแออัดของจำนวนผู้โดยสารในท่าอากาศยาน

นายศักดิ์สยาม กล่าวต่อว่า พื้นที่ผู้โดยสารขาเข้าระหว่างประเทศ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ มีช่องตรวจอนุญาต ทั้งสิ้น 119 ช่องตรวจ สามารถระบายผู้โดยสารได้ 7,140 คน/ชั่วโมง (ชม.) แบ่งเป็น โซนตะวันออก จำนวน 56 ช่องตรวจสามารถระบายผู้โดยสารได้ 3,360 คน/ชม. โซนกลาง จำนวน 20 ช่องตรวจ สามารถระบายผู้โดยสารได้ 1,200 คน/ชม. โซนตะวันตก จำนวน 43 ช่องตรวจ สามารถระบายผู้โดยสารได้ 2,580 คน/ชม.

นอกจากนี้ มีเครื่องตรวจหนังสือเดินทางอัตโนมัติ จำนวน 32 เครื่อง แบ่งเป็น ขาเข้า จำนวน 16 เครื่อง ขาออก จำนวน16 เครื่อง ซึ่งได้จัดทำเสากั้นทางเดินเพื่อจัดระเบียบพื้นที่ไม่ให้เกิดความแออัดของผู้โดยสารขณะรอรับบริการในขั้นตอนต่างๆ รวมทั้งจัดเจ้าหน้าที่มอนิเตอร์เพื่อบริหารจัดการให้บริการได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจากการตรวจพบว่าดำเนินการได้รวดเร็วขึ้นสามารถรองรับจำนวนผู้โดยสารได้เพียงพอ

เน้นย้ำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรักษามาตรฐานการบริหารจัดการให้มีประสิทธิภาพในชั่วโมงเร่งด่วน ซึ่งมีเที่ยวบินขาเข้าจำนวนมาก ทั้งนี้จากการตรวจติดตามการดำเนินงานทุกขั้นตอนพบว่าดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถบริหารจัดการได้ดี ไม่มีปัญหาใดๆ

นายศักดิ์สยาม กล่าว

นายศักดิ์สยาม กล่าวต่ออีกว่า ทั้งนี้ปัจจุบัน ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิมีผู้โดยสารขาเข้าขาออกเพิ่มขึ้น เฉลี่ย 1-1.2 แสนคนต่อวัน แบ่งเป็น ระหว่างประเทศ 8.7 หมื่นคนต่อวัน และในประเทศ 3 หมื่นคนต่อวัน ซึ่งท่าอากาศยานสุวรรณภูมิยังมีขีดความสามารถในการรองรับได้อีกมาก โดยช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เมื่อปี2562 ผู้โดยสารอยู่ที่ประมาณ 2 แสนคนต่อวัน อย่างไรก็ตาม คาดว่าในปี 2566 ผู้โดยสารจะกลับเข้าสู่ปกติ หรือมากกว่าเดิม

โดยได้เร่งรัดให้บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. เปิดการใช้งานอาคารเทียบเครื่องบินรองหลังที่1 (SAT-1) ในช่วงกลางปี 66 ซึ่งจะรองรับผู้โดยสารได้ประมาณ 15 ล้านคนต่อปี อย่างไรก็ตามเนื่องจาก SAT-1 เป็นอาคารสำหรับให้เครื่องบินมาเทียบจอด ซึ่งผู้โดยสารที่เดินทางมากับเครื่องบิน ต้องนั่งรถไฟฟ้าไร้คนขับ (APM) เพื่อเข้าสู่กระบวนการ ตม. ที่อาคารผู้โดยสารหลัก ดังนั้นจึงได้มอบหมายให้ ทอท. พิจารณาว่าจะสามารถจัดทำ ตม. ชั่วคราวได้ในพื้นที่ใดบ้าง ในระหว่างที่รอการเพิ่มช่อง ตม. ในอาคารผู้โดยสารหลัก

 

สำหรับความพร้อมอำนวยความสะดวกในโอกาสที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม APEC 2022 นั้น นายศักดิ์สยาม กล่าวว่า ได้ร่วมกับกรมท่าอากาศยาน (ทย.) สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) บริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด (บวท.) และท่าอากาศยานภายใต้การกำกับดูแลของ ทอท. ทั้ง 6 แห่ง ประกอบด้วย ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ท่าอากาศยานดอนเมือง ท่าอากาศยานเชียงใหม่ ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ท่าอากาศยานภูเก็ต และท่าอากาศยานหาดใหญ่ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

ทั้งนี้ ได้เตรียมความพร้อมด้านสถานที่ บุคลากร และขั้นตอนการให้บริการ พร้อมกับแต่งตั้งคณะทำงานเพื่อบูรณาการระหว่างหน่วยงานของกระทรวงคมนาคม กระทรวงต่างประเทศ กรมศุลกากร กรมสรรพสามิต เพื่อดำเนินการเตรียมความพร้อมและอำนวยความสะดวกด้านคมนาคมขนส่งให้แก่ผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค

โดยท่าอากาศยานสุวรรณภูมิได้เพิ่มช่องตรวจอนุญาต จำนวน 19 ช่องตรวจ เพื่อรองรับผู้เข้าร่วมประชุม ผู้นำเขตเศรษฐกิจ APEC 2022 โดยแบ่งเป็น โซนตะวันออก จำนวน 8 ช่องตรวจ (AE1-8) โซนกลาง จำนวน 4 ช่องตรวจ(AM17-20) และโซนตะวันตก จำนวน 7 ช่องตรวจ (AW1-7) รวมทั้งมอบให้ ทอท. จัดทำคลิปสั้น เพื่อประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนที่ใช้บริการท่าอากาศยานทราบในทุกช่องทาง ทั้งภายในและภายนอกประเทศ

ขณะเดียวกัน กระทรวงคมนาคมได้ดำเนินการเตรียมความพร้อมเรื่องหลุมจอดอากาศยานขนาดกลางและขนาดใหญ่ของคณะผู้นำเขตเศรษฐกิจ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ได้เตรียมความพร้อมหลุมจอดอากาศยาน เพื่อรองรับอากาศยานของคณะประมุขและผู้นำประเทศที่เดินทางเข้าร่วมประชุม APEC จำนวน 120 หลุมจอด โดยสามารถให้อากาศยานของคณะฯ พักค้างคืนที่หลุมจอดฯ สำหรับเที่ยวบินพาณิชย์ จำนวน 4 ลำ และสามารถจอดพักค้างคืนบนพื้นที่จอดอากาศยานเฉพาะ จำนวน 16 ลำ (รวมทั้งหมด จำนวน 20 ลำ)

ทั้งนี้ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิสามารถบริหารจัดการได้โดยไม่กระทบต่อการให้บริการเที่ยวบินพาณิชย์อื่นๆ ในส่วนท่าอากาศยานดอนเมือง ได้เตรียมความพร้อมหลุมจอดอากาศยาน จำนวน 101 หลุมจอด โดยสามารถให้อากาศยานของคณะฯ พักค้างคืนที่หลุมจอดฯ จำนวน 17 หลุมจอด พร้อมกับมอบหมายให้ ทอท. ประสานงานกับกระทรวงการต่างประเทศ เพื่อพิจารณาขนาดอากาศยานและขนาดพื้นที่ในการรองรับให้เหมาะสม

นายศักดิ์สยาม กล่าวว่า เน้นย้ำต้องให้ความสำคัญกับทุกเขตเศรษฐกิจ และดูแลอย่างเต็มที่ทั้งขาเข้าประเทศและขาออกประเทศ รวมทั้งการให้บริการ Ground Handing แก่อากาศยานของผู้นำ การให้พนักงานบริการประจำห้องรับรองพิเศษ การยกเว้นค่าธรรมเนียมต่างๆ โดยมอบหมายให้ กพท. และ บวท. ดำเนินการบริหารจัดการความคล่องตัวของการจราจรทางอากาศ ในช่วงเวลาการให้บริการเที่ยวบิน VIP และพิธีการต้อนรับภาคพื้นดิน

นอกจากนี้ การบริหารจัดการจราจรทางอากาศ และห้วงอากาศบริเวณพื้นที่ประชุม รองรับมาตรการรักษาความปลอดภัยของหน่วยงานความมั่นคง ทั้งในกรณีปกติและฉุกเฉิน พร้อมจัดรถโดยสารสาธารณะเพื่อเชื่อมโยงการเดินทางจากท่าอากาศยานไปยังจุดหมายปลายทางของผู้โดยสาร อีกทั้ง มอบ ทอท. ประสานรายละเอียดกับกระทรวงการต่างประเทศเพิ่มเติม โดยดำเนินการทุกขั้นตอนต้องเป็นไปตามหลักการและกฎระเบียบ

ส่วนมาตรการรักษาความปลอดภัยให้เพิ่มความถี่และความเข้มงวดในการตรวจตราทั้งในพื้นที่เขตการบิน (Airside) และพื้นที่สาธารณะ (Landside) โดยปฏิบัติงานร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจและเจ้าหน้าที่ทหาร ทั้งนี้ จากการตรวจสอบข้อมูลการตอบรับเข้าร่วมในแต่ละเขตเศรษฐกิจมีข้อเสนอในการขอให้รักษาความปลอดภัยที่แตกต่างกัน กระทรวงคมนาคมจึงขอให้กระทรวงการต่างประเทศรวบรวมข้อมูลข้อเสนอการรักษาความปลอดภัยในแต่ละเขตเศรษฐกิจเพื่อเตรียมความพร้อมในการรับรองต่อไป