พร้อมแล้ว! ‘การรถไฟฯ’ ชวน ปชช. เสนอความเห็น แนะเส้นทางท่องเที่ยว ‘KIHA 183’ คาดเปิดหวูดให้บริการปลายปีนี้

การรถไฟฯชวน ปชช. เสนอแนะเส้นทางท่องเที่ยว วิ่งให้บริการรถไฟ KIHA 183” หลังปรับปรุงเสร็จแล้ว 4 คัน คาดเปิดหวูดภายในปลายปีนี้ ก่อนเปิดให้บริการครบทั้ง 17 คัน ภายในปี 66 ส่งเสริมการท่องเที่ยวกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ

นายเอกรัช ศรีอาระยันพงษ์ ผู้อำนวยการศูนย์ประชาสัมพันธ์ การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เปิดเผยว่า หลังจากการรถไฟฯ ได้ปรับปรุง และนำขบวนรถไฟดีเซลรางปรับอากาศ รุ่น KIHA 183 ที่ได้รับมอบจากบริษัท Hokkaido Railway Company (JR HOKKAIDO) ประเทศญี่ปุ่น จำนวน 17 คัน โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย และนำมาทดสอบเดินรถในเส้นทางต่างๆ เช่น กรุงเทพศรีราชา (ชลบุรี) และกรุงเทพฉะเชิงเทรา ฯลฯ นั้น ปรากฏว่า ได้รับเสียงชื่นชมจากทั้งคนไทยและคนญี่ปุ่นอย่างล้นหลาม

ทั้งนี้ ปัจจุบันฝ่ายการช่างกล ปรับปรุงเสร็จสมบูรณ์แล้ว 4 คัน คาดว่าจะสามารถนำมาให้บริการเดินขบวนรถในเส้นทางท่องเที่ยวได้ภายในปี 2565 โดยการรถไฟฯ ขอเชิญชวนประชาชนร่วมแสดงความคิดเห็น และให้ข้อเสนอแนะเพื่อกำหนดเส้นทางในการให้บริการต่อไป ซึ่งประชาชนสามารถเสนอเส้นทางที่อยากให้รถไฟดีเซลรางปรับอากาศรุ่น KIHA 183 เดินรถให้บริการได้ ผ่านทางเฟซบุ๊กแฟนเพจทีมพีอาร์การรถไฟแห่งประเทศไทย ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อตอบสนองความต้องการ และเป็นประโยชน์ต่อผู้ใช้บริการอย่างแท้จริง อีกทั้งยังเป็นการร่วมกันสร้างประสบการณ์ใหม่ในการเดินทางท่องเที่ยวที่ดีให้แก่ประชาชน

ขณะเดียวกัน หลังจากนี้จะเร่งพัฒนาปรับปรุงรถไฟดีเซลรางปรับอากาศ รุ่น KIHA 183 ที่เหลือให้แล้วเสร็จ และพัฒนาอย่างดีที่สุด เพื่อนำออกมาวิ่งให้บริการครบทั้ง 17 คันภายในสิ้นปี 2566 โดยมั่นใจว่านอกจากจะเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยว และสร้างประสบการณ์ใหม่ในการเดินทางท่องเที่ยวทางรถไฟแล้ว ยังจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ ช่วยสร้างงาน สร้างรายได้ สร้างอาชีพให้แก่ประชาชนในพื้นที่ตามนโยบายรัฐบาลด้วย โดยในระยะแรกจะเริ่มทดลองนำรถออกให้บริการในเส้นทางระยะสั้น แบบวันเดย์ทริป หรือเทศกาลสำคัญต่างๆ ตลอดจนนำออกมาให้เช่าสำหรับผู้ที่สนใจนำไปจัดกิจกรรม หรือนำเที่ยวเป็นหมู่คณะ

นายเอกรัช กล่าวต่อว่า สำหรับรถไฟดีเซลรางปรับอากาศ รุ่น KIHA 183 ที่การรถไฟฯ ได้รับมอบจากบริษัท JR HOKKAIDO ซึ่งเป็นบริษัทเอกชนเดินรถของประเทศญี่ปุ่น จำนวน 17 คัน โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายนั้น ประกอบด้วย รถดีเซลรางปรับอากาศ แบบมีห้องขับสูง (High Cab) 40 ที่นั่ง จำนวน 8 คัน รถดีเซลรางปรับอากาศ แบบไม่มีห้องขับ68 ที่นั่ง จำนวน 8 คัน และรถดีเซลรางปรับอากาศ แบบมีห้องขับต่ำ (Low Cab)  52 ที่นั่ง จำนวน 1 คัน

ทั้งนี้ การรถไฟฯ ได้มีการปรับขนาดความกว้างของล้อจาก 1.067 เมตร ให้เป็นขนาด 1 เมตร ตามมาตรฐานทางรถไฟไทย โดยช่างของฝ่ายการช่างกล โรงงานมักกะสัน ที่ต้องใช้ความรู้ความชำนาญของเฉพาะด้าน รวมทั้ง ได้นำตู้โดยสารมาปรับปรุงภายนอกตัวรถ มีการดัดแปลง และปรับปรุงนำโคมไฟส่องทางด้านบนของตัวรถออก เนื่องจากเกินเขตโครงสร้างของรถ (Loading Gauge)

นอกจากนี้ ยังได้ย้ายไฟมาติดตั้งที่หน้ารถแทน บริเวณซ้ายและขวาจำนวน 2 ดวง ตลอดจนดัดแปลงบันไดให้สามารถขึ้นลงได้กับชานชาลาต่ำได้ รวมถึงปรับสภาพผิวตัวรถภายนอกโดยได้ขัดทำสีใหม่ ด้วยการใช้น้ำยาลอกสีแทนการใช้ความร้อน เพื่อไม่ให้เป็นมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม แต่ยังคงใช้เฉดสีเดิมควบคู่กับการรักษาเอกลักษณ์กลิ่นอายความเป็นญี่ปุ่น ซึ่งถือเป็นความร่วมมือ ระหว่างการรถไฟฯ และบริษัทในเครือ JR ที่มีมาอย่างยาวนาน

นายเอกรัช กล่าวอีกว่า การรับมอบในครั้งนี้เป็นความร่วมมือในการมอบตู้โดยสารเป็นครั้งที่ 2 หลังจากในครั้งแรกได้ส่งมาให้ประเทศไทยแล้ว จำนวน 10 ตู้ เมื่อเดือนตุลาคม 2561 ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างกระบวนการปรับปรุงดัดแปลงเพื่อใช้เป็นขบวนรถด้านการท่องเที่ยว นอกจากนี้การรถไฟฯ ยังเคยได้รับตู้โดยสารรถไฟจากประเทศญี่ปุ่น (บริษัทJR-West) เพื่อใช้ในกิจการรถไฟ โดยนำมาปรับปรุงและดัดแปลงเป็นรถโดยสารและรถจัดเฉพาะ เช่น รถ SRT Prestige รถประชุมปรับอากาศ ฯลฯ  เพื่อให้บริการแก่ประชาชน สามารถสร้างรายได้ให้กับการรถไฟฯ และส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในประเทศได้เป็นอย่างดี

สำหรับการปรับปรุงตู้รถไฟ KIHA 183 ให้มีความสวยงาม กลับมามีชีวิตอีกครั้งนั้น ยังคงสภาพเดิมทั้งสี และอักษรภาษาญี่ปุ่น จนทำให้ชาวญี่ปุ่นหลายคนอยากเดินทางมานั่งรถไฟขบวนนี้อีกครั้งที่ประเทศไทย เพื่อรำลึกความหลังเมื่อครั้งให้บริการอยู่ที่ประเทศญี่ปุ่น นอกจากนี้ คนญี่ปุ่นจำนวนมากแสดงความขอบคุณที่การรถไฟฯ ช่วยรักษา และปรับปรุงให้รถไฟของญี่ปุ่นมีสภาพใหม่เอี่ยม

อีกทั้ง รักษาเอกลักษณ์ของตัวรถไว้เหมือนเดิมทุกประการ โดยคนญี่ปุ่นชื่นชมที่การรถไฟฯ และคนไทยให้เกียรติกับประเทศญี่ปุ่นมาก โดยทั้งหมดนี้เป็นนโยบายของนายนิรุฒ มณีพันธ์ ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย ให้คงเอกลักษณ์เดิมของญี่ปุ่นไว้เดิมทั้งหมด ถือเป็นการให้เกียรติ และยอมรับในเอกลักษณ์ของญี่ปุ่น ซึ่งจะช่วยสานสัมพันธภาพที่ดีระหว่างกันให้ยั่งยืนต่อไป