‘คมนาคม’ ครบรอบ 110 ปี เดินหน้าพัฒนาระบบขนส่ง ‘บก-น้ำ-ราง-อากาศ’ ดันไทยสู่ฮับคมนาคม-จราจรในภูมิภาค

คมนาคมครบรอบ 110 ปีศักดิ์สยามเดินหน้าพัฒนาระบบขนส่งครบโหมดบกน้ำรางอากาศเพิ่มขีดความสามารถของประเทศ เชื่อมโยงโครงข่าย ดันไทยสู่ฮับคมนาคมขนส่งจราจรในภูมิภาค กระจายรายได้สู่ท้องถิ่น

นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยภายหลังเป็นประธานงานวันคล้ายวันสถาปนากระทรวงคมนาคม ครบรอบ 110 ปี วันนี้ (1 เม.. 2565) ว่า กระทรวงคมนาคม ได้ก่อตั้งขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาวชิราวุธ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ประกาศพระบรมราชโองการให้เปลี่ยนชื่อจากกระทรวงโยธาธิการ เป็นกระทรวงคมนาคม เมื่อวันที่ 1 เม.. 2455 และมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพระยาวงษานุประพัทธ์ (... สท้าน สนิทวงศ์) ดำรงตำแหน่งเสนาบดี มีหน้าที่กำกับดูแลคมนาคมบก ทางน้ำ ทางรางและไปรษณีย์โทรเลขในยุคสมัยแรก

ทั้งนี้ ปัจจุบันกระทรวงคมนาคม ได้เข้าสู่ปีที่ 110 ภายใต้การนำของนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้เดินหน้าพัฒนาระบบการขนส่งและจราจร ทั้งทางบก ราง น้ำ และอากาศ ให้มีความสะดวก ปลอดภัย ตรงเวลา มีประสิทธิภาพ ลดค่าครองชีพ ทำให้ประชาชนทุกระดับสามารถเข้าถึงระบบคมนาคมขนส่งสาธารณะได้อย่างเท่าเทียม รวมทั้งพัฒนาให้เกิดการเชื่อมโยงโครงข่ายคมนาคมขนส่งทุกระบบ โดยกระทรวงคมนาคมมีการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ทั้งที่เป็นแผนระยะกลางและแผนระยะยาว ดังนี้

การคมนาคมขนส่งทางบก ได้แก่ 1.โครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง 2 สายทาง คือ สายบางปะอินนครราชสีมา (M6) และสายบางใหญ่กาญจนบุรี (M81) 2.โครงการก่อสร้างทางพิเศษสายพระราม 3-ดาวคะนองวงแหวนรอบนอก 3.โครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง (ยกระดับ) สายบางขุนเทียนบ้านแพ้ว ช่วงที่ 1 ช่วงบางขุนเทียนเอกชัย และช่วงที่ 2 ช่วงเอกชัยบ้านแพ้ว

และ 4.โครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง 3 สายทาง คือ M5 ส่วนต่อขยายยกระดับอุตราภิมุข (ดอนเมืองโทลล์เวย์) M9 วงแหวนตะวันตก ช่วงบางขุนเทียนบางบัวทอง และ M7 ต่อขยายเชื่อมต่อสนามบินอู่ตะเภา พร้อมทั้งเปิดใช้ระบบผ่านทางพิเศษแบบไม่มีไม้กั้น (M-Flow) เพื่อลดปัญหาจราจรติดขัดบริเวณหน้าด่าน เพิ่มประสิทธิภาพการเดินทางบนท้องถนน

การคมนาคมขนส่งทางราง ได้แก่ 1.การพัฒนาระบบรถไฟฟ้าในพื้นที่เขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลตามแผนแม่บทการพัฒนาพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล โดยจะมีระบบรถไฟฟ้าทั้งหมด 14 เส้นทาง ระยะทางรวม 554 กิโลเมตร (กม.) 2.โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ซึ่งถือเป็นการปฏิรูปการขนส่งระบบรถไฟทั่วประเทศ เพื่อรองรับการขนส่งสินค้า ช่วยลดต้นทุนการขนส่ง

3.โครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ในการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูงเพื่อเชื่อมโยงภูมิภาค โดยเร่งดำเนินการ 2 ช่วง คือ ช่วงที่ 1 กรุงเทพฯนครราชสีมา และช่วงที่2 นครราชสีมาหนองคาย และ 4.โครงการถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน (ดอนเมืองสุวรรณภูมิอู่ตะเภา)

การคมนาคมขนส่งทางน้ำ ได้แก่ โครงการท่าเรือบก (Dry Port) จะเป็นศูนย์กลางในการขนถ่ายสินค้าและตู้คอนเทนเนอร์เพื่อส่งต่อไปทางรถไฟได้อย่างสะดวก รวดเร็ว และตรงเวลา ซึ่งตามแผนแม่บทการพัฒนาท่าเรือบกได้กำหนดพื้นที่ไว้ 4 จังหวัด คือ ขอนแก่น นครราชสีมา นครสวรรค์ และฉะเชิงเทรา

การคมนาคมขนส่งทางอากาศ ด้วยประเทศไทยยังคงเป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวของผู้คนทั่วโลก กระทรวงคมนาคมจึงมีความมุ่งมั่นที่จะรองรับนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางเข้ามาในประเทศ โดยมีโครงการพัฒนาท่าอากาศยานต่างๆ ได้แก่ โครงการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ระยะที่ 2 โครงการพัฒนาท่าอากาศยานดอนเมือง ระยะที่ 3 โครงการพัฒนาท่าอากาศยานอู่ตะเภา เพื่อรองรับการเติบโตทางเศรษฐกิจ       ในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) และ โครงการพัฒนาท่าอากาศยานภูเก็ต ระยะที่ 2

นอกจากนี้ กระทรวงคมนาคมได้กำหนดแผนงานสำหรับอนาคตของประเทศ โดยได้เริ่มดำเนินการศึกษาจัดทำแผนและพร้อมเดินหน้าโครงการที่สำคัญ เช่น การศึกษาจัดทำแผนแม่บท MR-Map เป็นการพัฒนาแนวโครงข่ายทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองคู่ขนานไปกับโครงข่ายรถไฟทางคู่ ประกอบด้วย 10 เส้นทางทั่วประเทศ

อีกทั้ง โครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งเพื่อพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ เพื่อเชื่อมโยงการขนส่งระหว่างอ่าวไทยและอันดามัน หรือแลนด์บริดจ์ เป็นการพัฒนาท่าเรือเชื่อมอ่าวไทยและอันดามัน พร้อมกับบูรณาการการขนส่งทางถนน ทางท่อ และทางราง เชื่อมต่อเป็นโครงข่ายเพื่อเปิดประตูการค้าและเส้นทางเดินเรือแห่งใหม่ของประเทศไทย ไปยังประเทศในฝั่งมหาสมุทรอินเดียและมหาสมุทรแปซิฟิก ขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาความเหมาะสม รูปแบบการพัฒนา การลงทุนโครงการ และผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม

อย่างไรก็ตาม กระทรวงคมนาคม มีความมุ่งมั่นในการเดินหน้าภารกิจเพื่อสนับสนุนการเพิ่มขีดความสามารถในการเสริมสร้างศักยภาพของประเทศ สู่การเป็นศูนย์กลางการคมนาคมขนส่งและจราจรในภูมิภาค กระจายรายได้สู่ท้องถิ่นช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจจากสถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 รวมทั้งดำเนินโครงการพัฒนาเชิงรุกโดยยึดประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชนเป็นที่ตั้ง